หนังสือ ชีวิตสมณะ ๑

ภาระ หน้าที่ และเป้าหมายของสมณะ

๓. ภาระ หน้าที่ และเป้าหมายของสมณะ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทั้งพระทั้งเณรออกบวชเพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นว่าชีวิตมีทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนชั้นสูง เป็นพระราชามหากษัตริย์ รัชทายาท ก็มีทุกข์ ทุกข์แบบชนชั้นสูง เกิดมาเป็นชนชั้นกลาง ก็มีทุกข์แบบชนชั้นกลาง เกิดเป็นชนชั้นล่าง ก็มีทุกข์แบบชนชั้นล่าง ไม่มีใครที่มีความสุขเลย ดูเผิน ๆ เหมือนมีความสุข แต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนมีชีวิตแบบหน้าชื่นอกตรม มีทุกข์ภายในไม่รู้จะไปบอกใคร บอกใครก็อายเขา หรือเขาก็มีทุกข์เหมือนกัน เราบอกเขา เดี๋ยวเขาก็บอกเราบ้าง ถ้าต่างคนต่างบอกก็กลุ้มเหมือนกัน จึงต้องหน้าชื่นอกตรมกันไป เพราะฉะนั้นจึงออกจากฆราวาส แล้วก็มาสมัครเป็นนักบวชอาชีพ เป็นบรรพชิต ปลงผม ปลงหนวด ปลงเครา ละทิ้งเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ละทิ้งธุรกิจการงานแบบฆราวาส ออกบวชมาใช้ชีวิตที่เรียบง่าย มีแค่อัฐบริขาร มีของเพียง ๘ อย่าง เลี้ยงสังขารด้วยอาหารของสาธุชน กับเป้าหมายของชีวิตที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง แล้วก็ประสบความสำเร็จในการเป็นนักบวช ได้บรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ …

ภาระ หน้าที่ และเป้าหมายของสมณะ Read More »

พระ…ให้ทำเฉพาะสมณกิจ

๑๙. พระ…ให้ทำเฉพาะสมณกิจ ชาวโลกมักไปเคี่ยวเข็ญให้พระทำตามใจตัว ให้ท่านช่วยตรวจดวงชะตาว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งท่านก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ เพราะไม่ใช่อาชีพพระ อยากให้พระดูหมอ ท่านก็ฉลองศรัทธา ไม่อยากให้เสียศรัทธา ท่านก็ดูให้ แล้วถ้าท่านดูผิด ก็ไปว่าท่าน บาปและตกนรกนะ แล้วไปบอกท่านว่า ท่านดูไม่แม่น ท่านก็เครียด กลุ้ม จะดูใครได้ ถ้าทายทุกข์ก็ทายถูกทีเดียวว่า จะทุกข์อย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้ เพราะพื้นฐานของมนุษย์มีทุกข์อยู่แล้ว แต่ถ้าทายว่า จะมีสุขจะโชคดี ไม่ค่อยจะถูกสักที เลยถูกอัด ญาติโยมก็ต่อว่าเอา ดูไม่แม่น ถ้าท่านทายว่า จะมีทุกข์ ฟังท่านกลับไปจะไปกลุ้มอีก ถ้าทายว่า มีสุขแล้วไม่สุข เขาก็กลับมาว่าท่าน ท่านก็กลุ้มอีก ตกลงกลุ้มทั้งคู่ แล้วท่านก็ต้องไปค้นคว้าเพื่อจะทายให้ถูก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาปริยัติ ปฏิบัติ เทศนา มันก็ไม่มีเวลา จริง ๆ แล้วญาติโยมไม่ควรจะไปรบกวนท่าน ถ้าอยากจะรู้อนาคตของตัวเรา โน่น ไปสมาคมโหร หรือหมอดูอาชีพ นั่นอาชีพของเขา เขารวบรวมสถิติมาเป็นพัน ๆ ปีนั่นแหละ และพูดได้ถึงพริกถึงขิง ขนาดเคี้ยวพริกเคี้ยวขิงเลยละ …

พระ…ให้ทำเฉพาะสมณกิจ Read More »

กิจของนักบวช

๔. กิจของนักบวช เราเป็นนักบวชปลดปล่อยวางแล้วจากเครื่องกังวลทั้งหลาย ไม่ต้องทำมาหากินแบบชาวโลก กิจของนักบวช คือ ศึกษาเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นพระแท้ เป็นพระที่สมบูรณ์ทั้งภายนอกภายใน เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง โดยย่อก็คือฝึกใจให้หยุดให้นิ่งให้เข้าถึงพระรัตนตรัย นี่เป็นกิจของนักบวช อย่าไปชักศึกเข้าบ้าน คือ นึกคิดถึงเรื่องราวที่ทำให้ร้อนอกร้อนใจ กลุ้มอกกลุ้มใจ กระสับกระส่าย ทุรนทุรายอยู่ในใจ อย่างนั้นเขาเรียกว่า ชักศึกเข้าบ้าน บ้านก็คือเรือนกายเรือนใจ ต้องทำใจให้เกลี้ยง ๆ ให้ว่าง ๆ ให้ใจมีแต่องค์พระ ดวงใส บุญกุศล ศีล สมาธิ ปัญญา ทำเพียงแค่นี้ชีวิตพระก็สมบูรณ์แล้ว จะมีความสุขในระดับหนึ่งทีเดียว ซึ่งความสมบูรณ์ในระดับนี้จะก้าวเข้าสู่ความสมบูรณ์ในอนาคต ที่เป็นความสมบูรณ์ที่แท้จริง คือ เข้าถึงพระนิพพาน วัตถุประสงค์ของการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทุกชีวิต…สุดท้ายก็มุ่งเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ จากความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งอกุศลมูลที่ทำให้กาย วาจา ใจของเราไม่บริสุทธิ์ และผลแห่งความไม่บริสุทธิ์จะทำให้เราทุกข์ทรมานในวัฏสงสาร ไปในมหานรก อุสสทนรก ยมโลก ไปเกิดเป็นอสุรกาย เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะกลับมาเป็นมนุษย์นี้ยาก …

กิจของนักบวช Read More »

พึงรักษาพระพุทธศาสนา

๒๐. พึงรักษาพระพุทธศาสนา หลวงพ่อเห็นวัดร้างแล้ว เศร้าใจ เขาเขียนมาให้อ่านว่า มีวัดร้าง ๓๐,๐๐๐ กว่าไร่ทั่วประเทศ วัดร้าง ๓๐,๐๐๐ กว่าไร่นี่เป็นของใคร ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่สร้างวัดแรกก็ สาธุ ขอยกแผ่นดินผืนนี้ถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้น วัดเป็นของพระพุทธเจ้า ถ้าจะเอาไปให้เขาเช่า หรือทำอะไรต้องไปขออนุญาตพระพุทธเจ้าก่อน ทีนี้ท่านไม่อยู่แล้วทำอย่างไร ก็ไปขอกับพระพุทธรูป แต่ถ้าท่านนั่งเฉย ๆ ก็อย่าไปนึกว่า ท่านยอมรับโดยอริยดุษณี อย่าไปคิดอย่างนั้น ตอนนี้มีแล้ว คือ เอาที่วัดไปให้เพื่อนต่างศาสนิกเช่า เขาก็สร้างศาสนสถานขึ้นมา สมมุติว่าสัญญา ๓๐ ปี พอครบไปเอาคืน คืนได้แต่ห้ามทุบศาสนสถาน ทุบมีเรื่องกัน ระหว่าง ๒ ความเชื่อนั่นแหละ เรื่องมันก็จะไปกันใหญ่โต เพราะฉะนั้นใครรับผิดชอบตรงนี้ก็น่าจะเอาไปพิจารณากันดูบ้างว่า วัดเป็นที่ของใครและวิธีทำดีที่สุดก็คือ หาพระไปอยู่วัด วัดร้างก็จะได้เปลี่ยนเป็นวัดรุ่ง ผู้ที่จะมาบวชก็มีมาก ปลดเกษียณแล้วก็ไปบวชหมุนเวียนกันไป อย่างน้อยเพื่อสร้างหนทางสวรรค์นิพพานให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง เราได้รับใช้ชาติมาแล้วอย่างเต็มที่ ตอนนี้เราปลดเกษียณแล้วมาบวช เราผ่านโลกมามากแล้ว อ่านตำรับตำราหนังสือหนังหาเองก็ได้ ถ้าสงสัยก็ไปถามพระอุปัชฌาย์บ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง …

พึงรักษาพระพุทธศาสนา Read More »

สมณะ…ชีวิตที่ใกล้พระนิพพาน

๕. สมณะ…ชีวิตที่ใกล้พระนิพพาน ชีวิตสมณะ เป็นชีวิตที่ปลอดกังวล ใกล้หนทางพระนิพพาน เครื่องแบบนี้เป็นชุดเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวก ที่ท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เป็นชุดสุดท้ายของทุก ๆ ชีวิต ไม่ว่าชีวิตในตอนนี้จะอยู่ในระดับไหน จะเป็นเชื้อชาติศาสนาหรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม เมื่ออินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ก็มีความหลากหลายในความเชื่อ เมื่ออินทรีย์แก่กล้าแล้ว ความเชื่อเหล่านั้นก็ปล่อยวางกันไป แล้วในที่สุดชีวิตสุดท้ายก็จะอยู่ในเพศสมณะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อท่านบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว ท่านจะระลึกชาติหนหลัง เคยเกิดเป็นอะไรต่ออะไรกันมากมายในสังสารวัฏ มีความเชื่อที่หลากหลาย แตกต่างจากความเชื่อถือจากพระรัตนตรัยมาก่อนกันทั้งนั้น ถ้าสมัยนี้ใช้คำว่า นอกศาสนา นอกบุญเขต แล้วเมื่อบารมีแก่กล้าหนักเข้า ท่านก็ปล่อยวางความเชื่อเหล่านั้น ไม่ลบหลู่ แต่ก็ดูเฉย ๆ หันมาศึกษาธรรมะละเอียดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลนิพพาน นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า ทุก ๆ ชีวิตในที่สุดจะต้องไปนิพพาน ต่างกันว่าจะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับอินทรีย์อ่อนหรือแก่ บารมีมากหรือน้อยเท่านั้น ตอนสุดท้ายก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้ลูกพระลูกเณรบวชมาแล้ว เราอยู่ในเพศที่สูงสุด เรียกว่า เพศอันอุดม เป็นเพศของผู้เลิศ เราใกล้พระนิพพานมาก ถ้าเรามีอารมณ์ดี คือ อารมณ์ที่เป็นกุศล บริสุทธิ์ มีอาภรณ์ดี คือ …

สมณะ…ชีวิตที่ใกล้พระนิพพาน Read More »

จังหวะชีวิตที่มีค่า…ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์

๖. จังหวะชีวิตที่มีค่า…ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ พระเณรที่บวชช่วงสั้น ต้องคิดอย่างนี้ เรามีเวลาจำกัดในเพศของสมณะ เป็นจังหวะชีวิตที่ดีของเราที่ได้มาบวช ซึ่งถือว่าเป็นเพศสูงสุดที่มนุษย์และเทวา ผู้มีบุญ ผู้รู้ทั้งหลายเขาเคารพกราบไหว้ว่า เป็นส่วนหนึ่งในพระรัตนตรัย ผ้าผืนนี้เป็นผ้าผืนสุดท้ายของผู้มีบุญจะได้สวมใส่ ไม่มีบุญไม่มีสิทธิ์ครองผ้ากาสาวพัสตร์ สีทองบริสุทธิ์ตั้งแต่เกิด เหมือนทองคำพอเกิดมาก็บริสุทธิ์ ตกอยู่ในโคลน ในที่โสโครก เขาก็เรียกว่า ทอง ตกในที่ดี ๆ ทองยิ่งสุกปลั่ง สดใส งามตั้งแต่เกิด ไม่ต้องเจียระไนเหมือนเพชรเหมือนพลอย ผ้ากาสาวพัสตร์ครองได้ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์เรื่อยมา และชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ที่จะเอาชนะพญามารได้ก็ชุดนี้แหละ ชุดหลากสี ชุดอื่นไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ ไปลองศึกษาดูในพระไตรปิฎก ยืนยันเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นผ้าผืนนี้สำคัญมาก ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะได้สวมใส่ ทรงผมนี้ก็เป็นทรงสุดท้าย ชาวโลกเขาทรงไม่เสร็จ เดี๋ยวสั้น เดี๋ยวยาว เดี๋ยวหยิก เดี๋ยวเหยียด เดี๋ยวแสก เดี๋ยวโกนครึ่งหนึ่ง เดี๋ยวโกน ๒ ข้าง บ้างก็โผล่ตรงกลางเหมือนนกเอี้ยง สารพัดทรง แต่ทรงนี้ทรงสุดท้าย ใช้มีดโกนแทนหวี ปลงทีหนึ่งก็ โล่ง โปร่ง เบาสบาย หมดกังวล …

จังหวะชีวิตที่มีค่า…ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ Read More »

สมณะน้อย… ผู้ได้โอกาส

๗. สมณะน้อย… ผู้ได้โอกาส สมณะน้อย หรือสามเณรผู้เป็นเทือกเถาเหล่ากอของสมณะ ที่จะรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต เอาไว้ให้ผู้มีบุญที่เขาจะมาเกิดในภายหลัง ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เป็นหนทางสว่าง ส่องทางชีวิตทั้งในปัจจุบันและในสังสารวัฏ หลวงพ่ออธิษฐานอยู่เรื่อย ๆ เกิดภพต่อไปให้ได้บวชตั้งแต่เป็นสามเณรตัวน้อย ชาตินี้มาทางอ้อม ต้องเสียเวลาไปเรียนหนังสือตามสถาบันต่าง ๆ ยาวนาน กว่าจะได้บวชก็เข้าวัยเบญจเพส วิชาแต่ละวิชาในมหาวิทยาลัย ตรวจตราดูแล้วเป็นวิชาชีพเอาไว้เลี้ยงชีพ เหมาะสำหรับทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชชาชีวิต ที่จะทำให้ชีวิตมีชีวา ทั้งอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน หรือเมื่อตายแล้วก็ไปดี ในมหาวิทยาลัยไม่มีการสอนเรื่องปรโลก ไม่ได้สอนควบคู่กันไประหว่างเศรษฐกิจกับจิตใจ สอนแต่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว ไม่ได้สอนเรื่องจิตใจว่า ทำอย่างไรถึงจะดำรงชีวิตได้อย่างผาสุก ทำอย่างไรถึงจะรู้เรื่องราวความจริงของชีวิต ปรโลกมีจริงไหม นรกสวรรค์มีจริงไหม ทำอย่างไรไปนรกไปสวรรค์ได้ ในสังสารวัฏเป็นอย่างไร หรือบรรพบุรุษหมู่ญาติตายไปแล้ว ทำอย่างไรจะสื่อสารกันได้ วิชชาเหล่านี้ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย หลวงพ่อกว่าจะได้บวชก็อายุ ๒๕ ปีแล้ว เสียดายเวลา สู้ลูกเณรไม่ได้ มาทางลัด ไม่ต้องเสียเวลาเรียนทางโลก มาถึงก็เรียนสุดยอดวิชชา เรียนวิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ทิ้งหมดศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ไม่ต้องไปเรียน เรียกว่า ดำเนินตามปฏิปทาของพระราหุล พระราหุลออกบวชเป็นสามเณรรูปแรก บวชกันตั้งแต่ยังเยาว์วัย …

สมณะน้อย… ผู้ได้โอกาส Read More »

สมณะ…หาใช่…ไม่ได้ทำอะไร

๘. สมณะ…หาใช่…ไม่ได้ทำอะไร เป็นพระนี่ยากนะ อยู่เฉย ๆ เขาก็หาว่าเกียจคร้าน โดยหารู้ไม่ว่าพระท่านกำลังทำงานที่แท้จริง งานหยุดนิ่ง คือ งานที่แท้จริง ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรแต่กำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่ เหมือนผนังหรือเสาเรือนอยู่เฉย ๆ แต่จริง ๆ กำลังทำงานแบกคาน แบกหลังคาอยู่ แม้แต่หลังคาก็กำลังทำงานคอยกันแดด กันฝน กันลม หรือพื้นก็นึกว่าอยู่เฉย ๆ แต่กำลังแบกพวกเราอยู่ ของบางสิ่งบางอย่างเห็นนิ่ง ๆ แต่กำลังทำงานทั้งนั้น แผ่นดินอย่านึกว่าอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร แต่ว่าข้างในภายใต้พื้นโลกมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา ภูเขา ต้นไม้ก็เช่นเดียวกัน เหมือนอยู่เฉย ๆ แต่ก็กำลังทำงาน แม้แต่ดอกไม้ปักใส่แจกัน ก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ กำลังทำงาน ให้ความสดชื่น ให้ความสวยงาม แล้วก็ดึงดูดให้เราเข้าไปหา ไปดอมไปดม เสื้อผ้านึกว่าอยู่เฉย ๆ ก็กำลังทำงาน คอยป้องกันความร้อน ความหนาว กันเหลือบ ยุง ริ้น ไร แมลง คอยป้องกันความละอาย ปกปิดร่างกายให้เราอยู่ …

สมณะ…หาใช่…ไม่ได้ทำอะไร Read More »

เกื้อกูลกัน…จรรโลงธรรม

๙. เกื้อกูลกัน…จรรโลงธรรม เกิดมาชาติหนึ่งชีวิตหนึ่งเราทำได้อย่างเดียว ถ้าคฤหัสถ์ก็ต้องทำมาหากินกันไป จะให้มาศึกษาธรรมะกระทั่งถึงขั้นละเอียดนี่ยาก เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เพราะท่านออกบวชแล้ว หมดความจำเป็นในการใช้ชีวิตในเพศคฤหัสถ์ ก็สนับสนุนท่าน ให้ท่านได้ทำความเพียร ท่านก็จะได้เรียนรู้เรื่องพระธรรมคำสอน เรื่องการปฏิบัติธรรม แล้วก็นำความรู้มาถ่ายทอดให้โยมฟัง โยมกลับมาเหนื่อย ๆ จากการงานก็จะได้ฟังธรรม พระฝากท้องไว้กับโยม โยมก็ฝากเรื่องจิตใจไว้กับพระ พระฝากกาย โยมฝากใจ ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างนี้ อย่าไปมองว่า พระเอาเปรียบสังคม เพราะท่านก็ทำประโยชน์ โดยทำหน้าที่เป็นครูสอนศีลธรรม และก็เป็นแบบอย่างที่ดีของคนดีที่โลกต้องการ และเป็นแหล่งแห่งความรู้ แหล่งแห่งเนื้อนาบุญ ที่จะสอนเกี่ยวกับเรื่องความเป็นจริงของชีวิต ต้องแบ่งหน้าที่กันทำ เพราะฉะนั้นใครมองแคบ ๆ ตื้น ๆ ว่า พระเอาเปรียบสังคม เลิกคิดซะ เลิกมองกันอย่างนั้น ให้มองใหม่ พระเป็นพระ ก็ต้องทำแบบพระ โยมเป็นโยม ก็ต้องทำแบบโยม พระเป็นครูสอนศีลธรรมที่ราคาถูกที่สุด ปีหนึ่งก็มีผ้าแค่ ๓ ผืน เปลี่ยนปีละชุด โยมเปลี่ยนวันละชุด อาหารวันละมื้อ บางแห่ง ๒ มื้อ แต่มื้อเช้าเบา มื้อเพลหนัก …

เกื้อกูลกัน…จรรโลงธรรม Read More »

ภิกษุสามเณร คือผู้ให้แสงสว่างแก่โลก

๑๐. ภิกษุสามเณร คือผู้ให้แสงสว่างแก่โลก ชีวิตในสังสารวัฏอันตรายมีภัยมาก ภัยในอบาย เป็นสัตว์นรก โลกันตร์ ในอุสสทนรก ในยมโลก อสุรกาย เปรต สัตว์เดรัจฉาน มีทุกข์มาก ๆ เลย แต่มนุษย์มองเห็นได้แค่ภูมิเดียว คือ ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ภูมิมนุษย์ก็มีความทุกข์ทรมานแบบมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นไหนก็ตาม ล้วนแต่มีทุกข์ มีโทษ มีภัยทั้งนั้น มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ปรารถนาอะไรไม่ได้อย่างนั้น เป็นต้น แล้วการดำเนินชีวิตก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ มันกะพร่องกะแพร่ง ถ้าไม่รู้เรื่อง อันตราย โลกจะไม่มีวันขาดแคลนมนุษย์ เพราะโลกเป็นเหมือนจุดกลาง มาจากสุคติภพบ้าง ทุคติภพบ้าง หมุนเวียนกันมาเกิดในโลกมนุษย์ แต่ว่าพอมาเกิดใหม่แล้วก็ลืม ระลึกชาติเก่าไม่ได้ว่า ก่อนมาเกิดมาจากไหน ไม่รู้เรื่องเหตุเรื่องผล ทำไมชีวิตประจำวันจึงประสบปัญหา มีสุขมีทุกข์อย่างนี้ เพราะเหตุเพราะผลอะไรก็ไม่รู้ ความไม่รู้นี่แหละเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงสำหรับชีวิต เพราะว่ามีโอกาสดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดได้ ผลก็คือไปอบาย ทุกข์ในอบายนี่มันมหาศาลและก็ยาวนาน ชีวิตในเมืองมนุษย์สั้น แต่ในปรโลกนั้นยาวนานมากจนเรานึกไม่ถึง และก็ทุกสิ่งที่เรากระทำ ไม่ว่าทางกาย …

ภิกษุสามเณร คือผู้ให้แสงสว่างแก่โลก Read More »

ถ้าบวชกันหมดทั้งโลก ?

๑๑. ถ้าบวชกันหมดทั้งโลก ? ชีวิตสมณะเป็นชีวิตที่เป็นต้นบุญต้นแบบ เป็นชีวิตที่ใกล้สมบูรณ์ที่สุด เพราะชีวิตจะสมบูรณ์ได้ต้องอยู่ในเพศสมณะ ชีวิตที่ยิ่งเรียบง่าย จะเป็นชีวิตที่มีความผาสุก และทรงพลัง มีความรอบรู้ ถ้าชีวิตซับซ้อนอะไรก็ดูยุ่งเหยิง วุ่นวาย อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์ทรงสละชีวิตที่ซับซ้อนมาใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ในที่สุดพระองค์ก็ได้เข้าถึงพระนิพพาน เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องกังวล ใจจะเป็นกลาง ๆ สบาย ๆ หากทุกคนมีชีวิตที่เรียบง่าย การปฏิบัติธรรมจะได้ผลดี ใจหยุดนิ่งได้ง่าย มีคนเขาถามว่า “ถ้าเกิดบวชกันทั้งโลกจะว่าอย่างไร” แต่เขาถามแบบประชดประชัน หรือกระแนะกระแหน หรืออะไรก็ไม่ทราบ ก็คงเป็นห่วง ถ้าบวชกันหมดโลกแล้วใครจะใส่บาตร แต่ก็เป็นคำถามที่น่าคิดนะ หลวงพ่อก็เลยถามว่า “ที่ถามมานี่ คุณจะบวชหรือเปล่า ถ้าคุณยังไม่บวชก็แสดงว่า ทั้งโลกยังขาดคนหนึ่ง ถ้าสมมุติว่าบวช ถ้าบวชได้ทั้งโลกนี่แสดงว่า ทุกคนในโลกมีบุญมาก ๆ เพราะที่บวชหมดทั้งภพมีแต่ในพระนิพพาน มีแต่พระเต็มไปหมดเลย ไม่มีอุบาสก อุบาสิกาเลย แต่ในเมืองมนุษย์บวชหมดก็เป็นนิพพานในเมืองมนุษย์ แล้วใครจะใส่บาตร ถ้าเกิดบวชกันทั้งโลก ต้องถือว่าเป็นความอัศจรรย์ของโลก เทวดาก็จะต้องมาใส่บาตร” ตอบเขาไปอย่างนี้ เขาบอก”ไม่เชื่อ” “ไม่เชื่อลองมาบวชสิ” ถามต่ออีกว่า “ถ้าเกิดบวชไปแล้วไม่มีเทวดามาใส่แล้วจะทำทำอย่างไร” “ถ้าไม่มีเทวดามาใส่ …

ถ้าบวชกันหมดทั้งโลก ? Read More »

สมณะ…ผู้สงบนิ่งภายใน

๑๒. สมณะ…ผู้สงบนิ่งภายใน เรื่องของกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษา เมื่อศึกษาแล้วเราจะพบว่า ทุกการกระทำไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา ล้วนตกอยู่ในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น เหมือนไฟ ใครจับก็ร้อน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเจตนาจับหรือเผลอไปจับก็ร้อน หรือเอาเสี้ยนมาทิ่มเท้า เจตนาทิ่มก็เจ็บ หรือแกว่งเท้าไปหาเสี้ยน ทั้งที่ไม่มีเจตนาก็เจ็บ โดนประตูหนีบมือ จะเด็กหรือผู้ใหญ่ จะชาติไหนก็แล้วแต่เจ็บทั้งนั้น เช่นเดียวกันกฎแห่งกรรมไม่มีละเว้น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ จะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนา จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทุกการกระทำล้วนมีผลทั้งสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยที่เป็นพระบรมโพธิสัตว์ พระองค์ทรงระลึกชาติได้ มองเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นว่าวัฏสงสารไม่มีจุดไหนที่ไม่เสี่ยงต่ออบายเลย ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นล่าง ถ้าไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม อันตรายมาก ๆ ทุกคนเสี่ยงและมีสิทธิ์ไปอบายด้วยกันทั้งนั้น และพระองค์ก็เคยไปอบายมาแล้ว และก็ทรงพ้นจากภัยในสังสารวัฏนั้น ภิกขุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สมณะ แปลว่า ผู้สงบกาย วาจา ใจ คือ พอเห็นภัยแล้วจะมีความสงบ สงบทั้งความคิด คำพูดและการกระทำ ไม่อยากให้เคลื่อนไหวเลย กายอยากจะนิ่ง ๆ ใจอยากจะนิ่ง ๆ ผู้ที่จะพ้นภัยในวัฏสงสาร จะพ้นจากกฎแห่งกรรมได้ จะต้องนิ่ง …

สมณะ…ผู้สงบนิ่งภายใน Read More »

กฎแห่งกรรม…เรื่องที่ทุกคนต้องรู้

๑๓. กฎแห่งกรรม…เรื่องที่ทุกคนต้องรู้ เรื่องกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ใครจะหลีกหนีไม่พ้นเลย ทุกคนในโลก ทุกระดับชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต พุทธบริษัท ๔ ก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น การกระทำทุกการกระทำอะไรก็ตามทั้งที่ลับที่แจ้ง จะมีใครเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม แต่กฎแห่งกรรมเขาเห็นและบันทึกติดเอาไว้ พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองและมั่นคง พุทธบริษัท ๔ ทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จะต้องศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมให้ดี แล้วก็ต้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะกฎแห่งกรรมมีมายาวนาน เริ่มต้นเมื่อไรไม่มีใครรู้ แม้แต่พุทธญาณ หรือญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาต่อ ๆ กัน นับพระองค์ไม่ถ้วน ยังหาเบื้องต้นว่าจะสิ้นสุดตรงไหนก็ยังไม่มีใครทราบ เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ไม่ได้เป็นผู้บัญญัติกฎแห่งกรรม ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ไม่มีเว้นกฎแห่งกรรมเลยสักราย เป็นเรื่องที่น่าศึกษาทีเดียว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไปเห็นด้วยพุทธญาณอันบริสุทธิ์ ด้วยบุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับจุตูปปาตญาณ เวลาท่านนำชาดกหรือเรื่องราวต่าง ๆ มาสอนพระภิกษุ สามเณร หรือภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านก็ต้องระลึกชาติไปดู แล้วนำมาสอน พระองค์ไปเห็นมาแล้วก็สงสารสัตว์โลก จึงนำมาสั่งสอนสัตว์โลกให้รู้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ …

กฎแห่งกรรม…เรื่องที่ทุกคนต้องรู้ Read More »

พระ… คือ… ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร

๑๔. พระ… คือ… ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร พระพุทธศาสนามีความสำคัญสำหรับทุก ๆ ชีวิตในโลก มีความสำคัญมาก คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป้าหมายอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน มีเป้าหมายจะพ้นทุกข์ ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยในวัฏสงสารนี่เห็นยากนะ ไม่ใช่ว่าจะเห็นกันได้ง่าย ๆ เพราะคำว่า วัฏสงสาร ต้องรวมกันในกามภพ รูปภพ อรูปภพ และในโลกันตร์ จะต้องเห็นภัยตลอดหมดเลยว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่รู้วิธีการดำเนินชีวิตและก็ไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร นี่อันตราย และยิ่งเราไม่รู้ตัวว่า ตกอยู่ในกฎแห่งกรรมหรือกฎของไตรลักษณ์ ยิ่งอันตรายมากทีเดียว เพราะว่าอะไรนิดอะไรหน่อยก็ปรับคดี ทั้งความคิด คำพูด การกระทำ เผลอทำบาปอกุศลกรรมแม้เพียงนิดหน่อยล้วนมีผลทั้งสิ้น แม้ทำนิดหนึ่งก็ต้องไปใช้กรรมในอบายยาวนาน ผู้ที่อยู่ในโลกนี้ที่ยังสนุกสนานเพลิดเพลิน เพราะไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร ทั้ง ๆ ที่ตัวผ่านมาแล้วในอบายภูมิ แต่พอมาเกิดใหม่ก็ลืม แล้วภาพข้างหน้า ภาพของอบายก็มองไม่เห็น เห็นแต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่รู้ว่า นั่นคือหนึ่งในอบายภูมิ นึกว่าเกิดมาเพื่อให้มนุษย์ได้กินได้ใช้งาน คิดอยู่แค่นี้เพราะเห็นแค่นี้ แต่ความจริงแล้วสัตว์เดรัจฉานเป็นหนึ่งในอบายภูมิ ซึ่งตัวก็เคยไปเกิด แต่ตัวไม่รู้ กระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไปรู้ไปเห็น จึงนำมาบอก …

พระ… คือ… ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร Read More »

เป็นพระต้องเห็นพระ

๑๕. เป็นพระต้องเห็นพระ กว่าจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เพื่อประพฤติธรรม กว่าจะบำเพ็ญบารมี ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่บารมีขั้นธรรมดา บารมีขั้นกลาง กระทั่งบารมีขั้นสูงอย่างน้อย ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป อย่างกลางก็ ๔๐ อสงไขย แสนมหากัป อย่างสูงก็ ๘๐ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะมาได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นใครได้มาบวช ให้ปลื้มใจเถิด เรามาอยู่ ณ จุดที่ดีที่สุดแล้ว ให้ใช้วันเวลาให้ดีที่สุด เป็นพระต้องปลอดกังวล ต้องไม่มีเรื่องรุงรังในใจ และก็อย่าไปชักศึกเข้าบ้าน บ้าน คือ เรือนกายเรือนใจของเรา อย่าไปดึงเอาเรื่องราว เอาความคิดอะไรต่าง ๆ ที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ หรือทำให้หยุดนิ่งได้ยากเข้ามา เมื่อหยุดนิ่งยาก มันก็ไม่เข้าถึงธรรม ตอนช่วงนี้ต้องปลดปล่อยเครื่องกังวลทั้งหมด รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง …

เป็นพระต้องเห็นพระ Read More »