อานิสงส์ถวายดอกกรรณิการ์

อานิสงส์ถวายดอกกรรณิการ์ (การตั้งความปรารถนาของพระอุปเสนเถระเอตทัคคะด้านผู้น่าเลื่อมใส)

     การสร้างบารมีเป็นหน้าที่ของทุกๆ คนที่ต้องทำ และสามารถทำได้ทุกๆ วาระ หากมีจิตผ่องใสมีใจศรัทธาแล้วทุ่มเทสร้างความดีอย่างเต็มกำลัง อานิสงส์อันไม่มีประมาณก็ย่อมบังเกิดขึ้น จะทำให้เราสมปรารถนาในชีวิต  เพราะตราบใดที่ชีวิตของมนุษย์ทุกคนยังไม่หมดสิ้นอาสวกิเลส เสบียงบุญก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของชีวิต  ดังนั้น เราจะต้องสร้างบารมีโดยมีใจเยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์ ที่ทุกลมหายใจของท่านเป็นไปเพื่อการสร้างบารมีอย่างเดียว เมื่อจิตใจของเราฝักใฝ่กับการสร้างบารมีอย่างแท้จริง  ใจก็จะถูกกลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล  และมรรคผลที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏอยู่ใน อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน ความว่า
                         “จริมํ วตฺตเต มยฺหํ      ภวา สพฺเพ สมูหตา
                     ธาเรมิ อนฺติมํ เทหํ     เชตฺวา มารํ สวาหนํ
     เมื่อชีวิตของเราในภพสุดท้ายเป็นไปอยู่ เราถอนภพขึ้นได้ทั้งหมด  ชนะมารพร้อมทั้งเสนามารทั้งหลายแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุดไว้”

     ถ้อยคำอันเป็นมงคลนี้ เป็นคำกล่าวของพระอรหันตเถระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ท่านกล่าวออกมาด้วยความโสมนัส ที่ตัวท่านเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์อันสูงสุดของชีวิต เป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่า ท้ายที่สุดของทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วสามารถเอาชนะพญามารพร้อมทั้งเสนามารทั้งหลายได้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะการชนะพญามารพร้อมทั้งเสนาได้  ชีวิตจะเป็นอิสระ ไร้เครื่องพันธนาการ มีแต่ความสุขที่แท้จริง เป็นเอกันตบรมสุขที่เกิดจากการบรรลุกายธรรมอรหัต

     * พระเถระที่หลวงพ่อนำคำของท่านมากล่าวนี้ ชื่อว่า อุปเสนวังคันตบุตร เป็นพระอรหันต์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอย่างแท้จริง ท่านมีประวัติชีวิตของการสร้างบารมีที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ควรที่จะรับทราบแล้วนำไปปฏิบัติให้ได้อย่างท่าน  ในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระเถระได้เกิดในครอบครัวของผู้มีฐานะดี อาศัยอยู่ในกรุงหงสาวดี ในยุคนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีศูนย์กลางการเผยแผ่ธรรมะอยู่ที่นัน พ่อค้าทานบดีและมหาชน ต่างก็เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระธรรมคำสอน  รักในการสร้างบารมี ทุกๆ วันก็พากันมารวมตัวเป็นหมู่เป็นคณะ เดินทางไปที่พระวิหารเพื่อฟังธรรม

     กุลบุตรผู้มีบุญท่านนี้ก็เช่นกัน พอเติบโตขึ้น เห็นผู้คนทั้งหลายพากันเดินไปเป็นกลุ่มๆ ดูเป็นระเบียบสวยงามก็เกิดความเลื่อมใสในหมู่คณะ ได้เดินตามสาธุชนเหล่านั้นไปถึงพระวิหาร นั่งฟังธรรมร่วมกับอุบาสกอุบาสิกา ในวันนั้นพระศาสดาทรงตั้งพระภิกษุองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ด้านผู้น่าเลื่อมใส  ตำแหน่งเอตทัคคะนี้ เป็นตำแหน่งที่พิเศษ ไม่ใช่จะมอบให้ผู้ใดผู้หนึ่งได้ทั่วไป  ผู้ที่จะได้ตำแหน่งเอตทัคคะนี้ ต้องสร้างบารมีที่พิเศษกว่าผู้อื่น แล้วจึงตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้า  มุ่งสร้างบุญอย่างเต็มที่จึงจะสมความปรารถนาได้

     ในวันนั้น กุลบุตรนั้นเห็นพระภิกษุอรหันต์ที่ได้รับการแต่งตั้งก็ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้นบ้าง ตั้งแต่วันนั้นมาก็ได้ตั้งใจอุปัฏฐากบำรุงพระศาสดาอย่างเต็มที่  ได้บำเพ็ญบุญจนตลอดชีวิต  มีบุญพิเศษอย่างหนึ่งที่ได้ทำในภพชาตินั้นคือ มีอยู่วันหนึ่ง ท่านเห็นดอกกรรณิการ์กำลังบาน ดูสดชื่นสวยงาม จึงเด็ดดอกกรรณิการ์เอามาประดับที่ฉัตร แล้วก็ยกฉัตรขึ้นกั้นถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ถวายบิณฑบาตด้วยข้าวที่ปรุงด้วยนํ้านมอย่างดี มีรสอร่อยประณีต  โดยถวายพระภิกษุ ๙ รูปมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

     พระผู้มีพระภาคทรงเห็นกุลบุตรนี้ตั้งใจบำรุงพระองค์ และได้เอาดอกกรรณิการ์มาประดับฉัตรถวาย ทรงมองเห็นมหานิสงส์ที่บังเกิดขึ้น และทราบความปรารถนาของกุลบุตรนี้ ทรงพยากรณ์ว่า “ดูก่อนมาณพ เพราะความที่ท่านเป็นผู้ที่มีจิตเลื่อมใส  ได้ถวายดอกกรรณิการ์ประดับฉัตร และทานที่ท่านทำก็ละเอียดประณีต  ท่านจะได้สมบัติใหญ่  จักเข้าถึงเทวสมบัติเป็นท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์ ๓๐ ครั้ง  จะเป็นพระเจ้าจัรพรรดิที่สมบูรณ์ด้วยจักรพรรดิสมบัติ ๒๑ ครั้ง  และจะเป็นพระราชาอีกนับครั้งไม่ถ้วน  ในอนาคตกาลท่านจะได้บวชในศาสนาของพระสมณโคดม  แล้วจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด  ชนะมารพร้อมทั้งเหล่าเสนามารอย่างสิ้นเชิง”

     พอได้ฟังคำพยากรณ์จากพระศาสดา ยิ่งทำให้ท่านเกิดมหาปีติอย่างท่วมท้น และเชื่อมั่นในอานุภาพแห่งบุญที่ตนเองได้สร้าง ตั้งแต่บัดนั้นมา กุลบุตรนี้ก็ยิ่งสร้างบุญเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน  พอละจากโลกนี้ไปแล้ว ได้เข้าถึงสวรรค์สมบัติตามพุทธพยากรณ์  เสวยทิพยสมบัติเป็นท้าวสักกะถึง ๓๐ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีรัตนะทั้งเจ็ดประการอีก ๒๑ ครั้ง  ได้เป็นพระราชาในประเทศราชอีกนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะไปเกิดในที่ใดๆ  ก็สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยสมบัติใหญ่ มีความสุขไปทุกภพทุกชาติ

     ในชาติสุดท้าย ท่านได้มาเกิดในสมัยพุทธกาล ถือกำเนิดในครรภ์ของนางรูปสารีพราหมณีในนาลันทคาม ญาติพี่น้องได้ตั้งชื่อให้ว่า อุปเสน   อุปเสนกุมารเป็นกุมารที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก เป็นที่รักของหมู่ญาติ  พอเติบโตขึ้น ได้ศึกษาเล่าเรียนจนเจนจบคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นความรู้สูงสุดของวรรณะพราหมณ์  เมื่อศึกษาเจนจบแล้ว อุปเสนพราหมณ์ก็ฉุกคิดมาว่า ความรู้ทั้งหมดที่ท่านมีอยู่นี้ ไม่สามารถที่จะนำออกจากทุกข์ได้ ยังเป็นความรู้ที่ทำให้ติดโลกติดภพ ท่านจึงหาทางที่จะหลุดพ้นจากวังวนของความทุกข์

     บุญในตัวที่เคยสร้างเอาไว้ในอดีตก็คอยตักเตือนให้ครุ่นคิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งได้ข่าวว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก และได้ออกประกาศพระสัทธรรมที่สามารถนำออกจากทุกข์ได้ อุปเสนพราหมณ์ จึงเข้าไปหาพระบรมศาสดา พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์ ทำให้พราหมณ์เกิดความเลื่อมใส จึงตัดสินใจออกบวชในพระพุทธศาสนา บวชได้พรรษาเดียวหลังจากอุปสมบท ก็ได้ให้กุลบุตรคนหนึ่งบวชในสำนักของตน แล้วพากุลบุตรนั้น เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา

     พระศาสดาทราบว่าภิกษุบวชใหม่เป็นสัทธิวิหาริกของอุปเสนภิกษุ เนื่องจากท่านอุปเสนมีพรรษายังไม่ครบสิบ จึงกล่าวติเตียนว่า “เธอเป็นผู้ที่เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเกินไป”  อุปเสนภิกษุถูกพระศาสดาติเตียนอย่างนั้นก็คิดว่า สิ่งที่พระศาสดาตักเตือนเรานี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ปรารถนาที่จะให้เราได้คิด ไม่ให้ทำอะไรเกินตัวและไม่เหมาะไม่ควรกับภิกษุที่บวชใหม่ เราควรที่จะนำพระดำรัสนั้นมาเตือนตนและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเราผู้ปรารถนาความหลุดพ้น เมื่อท่านคิดอย่างนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ตั้งใจทำความเพียรจนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลาไม่นาน

     หลังจากที่บรรลุพระอรหันต์แล้ว พระอุปเสนเถระก็สมาทานประพฤติธุดงควัตรทั้งหมดด้วยตนเอง และยังชักชวนให้ผู้อื่นปฏิบัติธุดงควัตรนั้นด้วย  ข้อวัตรปฏิบัติของท่านงดงามน่าเลื่อมใสมาก ไม่ว่าเพื่อนสหธรรมิกหรือสาธุชนทั้งหลาย หากได้พบปะสนทนาและเห็นข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ต่างก็พากันชื่นชมเลื่อมใสและโจษจันจนเป็นที่อนุโมทนา พระศาสดามองเห็นบุญในอดีตที่พระเถระเคยตั้งความปรารถนาเอาไว้ พระองค์จึงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้น่าเลื่อมใส

     เราจะเห็นว่า ผลแห่งบุญนี้ไม่มีทอดทิ้งผู้ที่ตั้งใจสร้างบุญเอาไว้อย่างดีแล้ว  แม้เกิดไปในภพชาติใดๆ บุญก็ยังคอยอุปภัมภ์คํ้าจุน ส่งผลให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ชีวิตก็มีแต่ความสุขทุกวันทุกคืน เมื่อเรารับทราบกันอย่างนี้ ก็ให้ตั้งใจมั่นในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ทำทุกๆ บุญที่มาถึงเรา ทั้งทาน ศีล ภาวนาและบุญพิเศษต่างๆ ให้ครบ  สรุปก็คือบารมี ๑๐ ทัศให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ อย่าได้ละเลยการสร้างบุญ ผลบุญที่เราสร้างไว้ไม่มีทอดทิ้งเราไปไหน เราต้องได้รับผลอย่างแน่นอน

* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๙
 

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/12000
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *