มงคลที่ ๓๐ สนทนาธรรมตามกาล – เกวียน ๗ ผลัด ทางลัดสู่นิพพาน

มงคลที่ ๓๐ สนทนาธรรมตามกาล – เกวียน ๗ ผลัด ทางลัดสู่นิพพาน

ปัจจุบัน เราอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถส่งถึงกันได้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที สิ่งใดที่เราทำไปก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันหมด หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี จะเกิดผลกระทบต่อคนรอบข้าง และคนทั้งโลกได้เช่นเดียวกัน เพราะโลกใบนี้ มีปฏิสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ เหมือนไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียวสามารถลุกลามเผาบ้านเผาเมืองได้ทั้งเมือง

แต่หากเราทำความดีแม้เพียงเล็กๆน้อยๆ ถึงจะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่สามารถขยายผลถึงโลกและจักรวาลได้ ความดีที่เกิดจากการฝึกฝนใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งเป็นประจำนี้ จะช่วยกลั่นบรรยากาศโลกให้เกิดกระแสความบริสุทธิ์ ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินทั้งหลายให้หมดสิ้นไป การเจริญสมาธิภาวนา ถือเป็นกรณียกิจที่ทุกๆคนควรพร้อมใจกันลงมือปฏิบัติ เพื่อตัวของเราเอง เพื่อโลก เพื่อจักรวาล และเพื่อสันติสุขที่แท้จริงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

มีพุทธดำรัสที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน ปฐมวัตถุกถาสูตร ว่า…

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ประการนี้ คือ การสนทนา ปรารภเรื่องความเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ยินดีในความวิเวก การไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ การปรารภความเพียร สนทนาเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลายยึดถือเอากถาวัตถุทั้ง ๑๐ประการนี้แล้ว สนทนากันอยู่เป็นประจำ เธอทั้งหลายพึงครอบงำเดชแม้ของพระจันทร์ และพระอาทิตย์ ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ได้”

สังคมโลกปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีมากขึ้น ซีกโลกฝั่งตะวันตกและตะวันออก ต่างมีการแข่งขันที่จะพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านต่างๆอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะขีดความสามารถของมนุษย์นั้น ไม่มีขอบเขตจำกัด ทั้งที่เป็นความสามารถในเชิงสร้างสรรค์และการทำลายล้าง ขึ้นอยู่กับจะนำความสามารถออกมาใช้ในทางไหน โลกนี้จะสดใสเจริญรุ่งเรืองหรือล่มสลาย ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์เรา เพราะมนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตาของโลกและจักรวาล

สังคมปัจจุบันจะมุ่งเน้นแต่เรื่องความคิด คำพูด และการกระทำ ที่เป็นเรื่องนอกตัว จินตนาการออกไปไกลถึงนอกโลก นอกจักรวาล ถึงขนาดมีการลงทุน ทุ่มเงินจำนวนมหาศาล เพื่อผลิตยานอวกาศส่งมนุษย์อวกาศไปสำรวจนอกโลก ไปสำรวจดวงดาวและสิ่งมีชีวิตในโลกอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว

นอกจากนี้ ยังมีหัวข้อการสนทนาในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ ต่างคาดเดาไปต่างๆนานาว่า โลกนี้จะถึงกาลอวสานบ้าง จะมีการทำสงครามทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์บ้าง ส่งผลให้หลายๆประเทศมีการเตรียมป้องกันตัว ด้วยการผลิตอาวุธร้ายแรงเพื่อเตรียมรบราฆ่าฟันกัน

เรื่องที่ควรสนทนา ควรเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสบาย เป็นเรื่องที่น้อมนำใจกลับมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย ซึ่งเป็นต้นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเรียนรู้เรื่องราวของโลกและชีวิตอย่างแท้จริง สนทนากันแล้วจะได้ไม่อยากรบกันเอง แต่อยากรบกับศัตรูที่แท้จริง นั่นคือรบกับ อาสวกิเลส ที่ฝังตัวนอนเนื่องอยู่ในใจเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน อกุศลมูล ต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เกิด กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ต้องรบให้ชนะ ตีกระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก จนกว่าฝ่ายอกุศลจะพ่ายแพ้ไป

ถ้ายังทำไม่ได้ เราก็ยังตกเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารเรื่อยไป ยังเป็นผู้แพ้ แพ้ต่อกิเลสในใจของตนเอง แต่ถ้าหากเอาชนะตรงนี้ได้ สิ่งนอกตัวก็เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเรา เพราะฉะนั้น ควรเปลี่ยนการสนทนาเรื่องนอกตัว หรือเรื่องที่อยู่ไกลตัว มาพูดคุยเรื่องในตัวกันดีกว่า โลกพัฒนาก้าวไปไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีก็ทันสมัยขึ้นไปเรื่อยๆ ใจของเราก็ควรถูกฝึกให้สูงส่งควบคู่ไปด้วย เราจะได้ใช้เทคโนโลยี อุปกรณ์ที่ทันสมัยต่างๆในเชิงสร้างสรรค์ โลกนี้จะได้เกิดสันติภาพอันไพบูลย์

เรื่องที่ควรสนทนาก็คือ ทำเช่นไรจึงจะเป็นคนมักน้อยสันโดษ ทำอย่างไรใจจึงจะหยุด ทำอย่างไรใจจึงจะนิ่ง เราควรแสวงหาเวลาหลีกเร้นอยู่ในที่สงบวิเวก เพื่อเพิ่มพูนความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ให้กับตนเอง ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะมากเกินไป ทำให้เสียเวลาในการทำใจหยุดนิ่ง นอกจากนี้ ควรคุยกันเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจในธรรมะอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิมุตติกถา และวิมุตติญาณทัสสนะ คือ ทำอย่างไรจึงจะเกิดญาณทัสสนะ มีดวงตาเห็นธรรม ที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งเห็นจริงภายใน

*ดังเช่นในสมัยพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ พระปุณณมันตานีบุตร เป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านธรรมกถึก คือ การเทศนา ท่านสามารถเทศน์สอนให้ผู้ฟังบรรลุธรรมตามกันมากมาย สมัยเด็กท่านศึกษาคัมภีร์ของพราหมณ์จนแตกฉานในไตรเพท เมื่อได้พิจารณาไตรเพทอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ไม่เห็นโมกขธรรมที่จะเป็นเหตุให้หลุดพ้นได้ ท่านบอกว่า “ธรรมดาไตรเพท เปรียบเหมือนต้นกล้วย ข้างนอกเกลี้ยงเกลา ข้างในหาแก่นสารไม่ได้”

เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะผู้เป็นลุงมาโปรดที่บ้าน ท่านตัดสินใจออกบวชพร้อมเพื่อนๆอีก ๕๐๐คน ท่านได้รับโอวาทกถาวัตถุ๑๐ จากพระอาจารย์ และได้สอนกถาวัตถุ ๑๐ประการนี้ต่อๆกันเรื่อยมา ทำให้สัทธิวิหาริกของท่านที่นำไปประพฤติปฏิบัติตาม ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันหมด เมื่อบรรดาลูกศิษย์ของท่านเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ต่างพากันสรรเสริญคุณของพระอาจารย์ให้พระพุทธองค์ได้รับรู้ ทำให้พระสารีบุตรซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ปรารถนาจะสนทนาธรรมกับพระปุณณมันตานีบุตร

ครั้นพระปุณณะเดินทางมาถึง ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ตามลำพัง แล้วขอโอกาสลาไปนั่งปลีกวิเวกในป่าอันธวัน เมื่อพระสารีบุตรเถระทราบข่าวนั้น จึงรีบติดตามไป และได้สนทนาธรรมกับท่านว่า “ท่านผู้มีอายุ ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” พระปุณณะตอบว่า “ประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน”

พระปุณณมันตานีบุตรอธิบายเพิ่มเติมว่า “วิสุทธิ๗ เป็นบันไดก้าวไปสู่นคร คือ อมตมหานิพพานของนักปฏิบัติธรรม จะไปนิพพานได้ต้องอาศัยหลัก ๗ประการนี้ โดยจะลัดหรือข้ามขั้นตอนก็ไม่ได้ เหมือนพระราชาเสด็จจากเมืองสาวัตถีไปเมืองสาเกตด้วยพระราชกรณียกิจเร่งด่วน ต้องใช้รถ ๗ผลัดจึงจะถึงเมืองสาเกต…

เวลาที่ตั้งอยู่ในสีลวิสุทธิ พึงเห็นเหมือนเวลาขึ้นรถผลัดที่หนึ่ง เวลาที่ตั้งอยู่ในจิตตวิสุทธิ เหมือนขึ้นรถผลัดที่สอง เวลาที่ใจตั้งอยู่ในทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ก็เหมือนการเปลี่ยนรถจากคันที่๒ ไปขึ้นรถคันที่๓ คันที่๔ คันที่๕ คันที่๖ และคันที่๗ ไปตามลำดับ จะบอกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อให้ได้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ วิสุทธิ๗ จึงมีความเกื้อกูลกันทั้งหมดเช่นนี้…

เพราะสีลวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่จิตตวิสุทธิ จิตตวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ทิฏฐิวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่กังขาวิตรณวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพาน…

ผู้มีอายุ ผมประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่ออนุปาทาปรินิพพานอย่างนี้แหละ”

พระสารีบุตรได้ฟังเช่นนั้น ก็กล่าวชมเชยว่า “เป็นลาภของข้าพเจ้าที่ได้ดีแล้วหนอ ที่ได้พบเห็น ได้นั่งใกล้ท่านผู้เป็นพระธรรมกถึก” ฝ่ายพระปุณณมันตานีบุตรถามว่า “ผู้มีอายุ ท่านชื่ออะไร และเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายรู้จักท่านว่าอย่างไร” พระสารีบุตรตอบว่า “ผู้มีอายุ ผมชื่ออุปติสสะ แต่พวกเพื่อนพรหมจรรย์รู้จักผมว่า สารีบุตร”

เมื่อพระปุณณมันตานีบุตรได้ฟังเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ผมกำลังพูดอยู่กับท่านผู้เป็นอัครสาวกของพระบรมศาสดา มิได้ทราบเลยว่า ท่านชื่อสารีบุตร เป็นบุญลาภมากที่ได้พบเห็น ได้นั่งใกล้ท่านพระสารีบุตรผู้มีปัญญาเป็นเลิศ” พระเถระทั้งสองรูปได้กล่าวสรรเสริญอนุโมทนา และชื่นชมในภาษิตของกันและกัน

นี่เป็นตัวอย่างของนักปราชญ์บัณฑิตผู้รู้ ท่านสนทนา พูดคุยกันแต่เรื่องในตัว เรื่องของการทำใจหยุดใจนิ่ง เพื่อไปนิพพานกันอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนอกตัวเลย เพราะยิ่งเราศึกษาเรื่องทางโลกมากเท่าไร ก็ยังชื่อว่าวิ่งตามกระแสโลกอยู่ดี จะวิ่งตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน

แต่ถ้าเราหยุดจากการวิ่งตาม มาหยุดในหยุดอยู่ในกลางกายแทน เราจะมีชีวิตที่อยู่เหนือโลก อีกทั้งยังเข้าใจโลกตามความเป็นจริงได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นวันเวลาที่ผ่านไป อย่ามัวไปเสียเวลาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องไร้สาระ ควรเอาเวลามาคุยเรื่องกถาวัตถุ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้บรรลุธรรม และหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้ได้ทุกวัน ทำไปจนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายภายในกันทุกๆคน

*มก. รถวินีตสูตร เล่ม ๑๘ หน้า ๓๔๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/4305
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๕

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *