มงคลที่ ๒๙ เห็นสมณะ – เส้นทางสมณะ

มงคลที่ ๒๙ เห็นสมณะ – เส้นทางสมณะ

การเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตที่เราปรารถนา เราต้องรู้ว่า จุดเริ่มต้นและหนทางที่กำลังเดินไปนั้นเป็นอย่างไร มีสุขมีทุกข์ เป็นบาปหรือเป็นบุญ เพื่อเราจะได้เลือกเส้นทางได้ถูกต้อง เลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นบุญกุศลล้วนๆ ไม่สนใจสิ่งที่ไร้สาระ หากรู้ตลอดสายเช่นนี้ จะไม่หลงแวะเวียนข้างทาง เราจะไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย

มีคำกล่าวว่า การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะจุดเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเริ่มต้นผิดก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ถ้าเริ่มต้นถูกต้อง ถูกทางมรรคผลนิพพาน ทางของพระอริยเจ้า เราก็จะไปถึงเส้นชัยของชีวิต ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ถึงพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเป็นสรณะที่แท้จริง

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน มหาปรินิพพานสูตร ว่า…

ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่๑ สมณะที่๒ สมณะที่๓ หรือสมณะที่๔ ส่วนธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ หรือที่๔ อริยมรรคประกอบด้วยองค์๘ มีอยู่ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ถ้าโลกยังมีสมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ หรือที่๔ สมณะเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

*ในวันสุดท้าย ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน สุภัททปริพาชก ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา ท่านได้ทราบข่าวว่า พระสมณโคดมพุทธเจ้าจักปรินิพพานในยามสุดท้ายของคืนนี้ แต่ท่านยังมีข้อสงสัยอยู่หลายประการ เพราะได้ยินได้ฟังคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และบุพพาจารย์ทั้งหลายพากันกล่าวว่า พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมอุบัติขึ้นในโลกเป็นบางครั้งบางคราว

การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการยาก การได้ฟังพระสัทธรรมก็เป็นการยาก ท่านเกิดปริวิตกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักปรินิพพานในยามสุดท้ายของคืนนี้แล้ว แต่ธรรมที่เราสงสัยนี้ ยังค้างคาใจของเราอยู่ เราก็มีความเชื่อมั่นในพระสมณโคดมพุทธเจ้าว่า พระองค์สามารถที่จะแสดงธรรมแก่เรา ทำให้เราขจัดความสงสัยในหัวข้อธรรมต่างๆเหล่านั้นได้

พอดำริเช่นนั้นแล้ว สุภัททปริพาชกจึงเข้าไปหาพระอานนท์ ที่ดงป่าไม้สาละของพวกมัลลกษัตริย์ เพื่อกล่าวถึงความตั้งใจของตน ที่จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจ แต่ก็ถูกพระอานนท์กล่าวห้ามถึง ๓ครั้ง เพราะท่านเกรงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงลำบากพระวรกาย เนื่องจากพระพุทธองค์กำลังอาพาธ จึงไม่อยากให้ใครมารบกวน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับคำเจรจาของพระอานนท์กับสุภัททปริพาชก ทรงทราบว่าปริพาชกเป็นผู้มีบุญ เมื่อหายสงสัยแล้วจะได้บรรลุธรรม ด้วยมหากรุณาอันหาประมาณมิได้ของพระพุทธองค์ จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ อย่าห้ามสุภัททะเลย ให้สุภัททะเข้ามาหาเราเถิด สุภัททะจักถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งกับเรา เพื่อความรู้ยิ่ง มิใช่เพื่อความเบียดเบียนเรา อนึ่ง เมื่อเราถูกสุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความนั้นแก่สุภัททะ เขาจักรู้แจ้งเห็นจริงข้อความนั้นได้โดยง่ายดาย เพราะขณะนี้อินทรีย์เขาแก่รอบแล้ว เป็นผู้ควรแก่การตรัสรู้ธรรม”

พอฟังพุทธดำรัส พระอานนท์จึงกล่าวกับสุภัททปริพาชกว่า “เชิญเถิดท่านสุภัททะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระมหากรุณา ประทานโอกาสให้ท่านถามปัญหาแล้ว” สุภัททปริพาชกปลื้มปีติอย่างยิ่ง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบนมัสการด้วยความเคารพ แล้วกราบทูลถามความสงสัยที่มีอยู่ในใจว่า…

“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่าใด เป็นเจ้าหมู่ เป็นเจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมากต่างเข้าใจว่าเป็นคนดี คือ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดตรัสรู้แล้วตามปฏิญญาของตน หรือทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกตรัสรู้ บางพวกไม่ได้ตรัสรู้ ข้าพระองค์อยากทราบความเป็นสมณะของเจ้าลัทธิเหล่านี้ ขอพระองค์โปรดให้ความกระจ่างด้วย”

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า ปัญหานี้ไม่ควรพยากรณ์ เพราะจะเป็นไปเพื่อความไม่สงบใจ จึงได้ตรัสห้ามว่า “อย่าเลยสุภัททะ คำถามนี้หยุดไว้ก่อนเถิด เราจะแสดงธรรมแก่เธอ เธอจงตั้งใจฟังธรรมนั้นโดยเคารพ จงตั้งใจฟังให้ดีเถิด” สุภัททปริพาชก ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า…

“ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ หาไม่ได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น

สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ หาได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ย่อมหาได้ในธรรมวินัยนั้น

สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ ลัทธิ คือ คำสอนอื่นๆที่เว้นจากอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ ย่อมว่างจากสมณะผู้รู้ สุภัททะ ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

ดูก่อนสุภัททะ ครั้งเมื่อเรามีวัย ๒๙พรรษา บวชแล้วแสวงหาอยู่ว่า อะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้วจนถึงบัดนี้ แม้สมณะที่เป็นไปในส่วนแห่งธรรมที่เป็นเครื่องนำออกจากภพ คือ อริยมรรคมีองค์๘ ก็ไม่มีในภายนอกแต่พระธรรมวินัยนี้

สมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ก็มิได้มีลัทธิคำสอนอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ภิกษุเหล่านี้พึงตั้งอยู่ในมรรคผลระดับใด ก็เป็นกัลยาณมิตรแนะนำผู้อื่น ให้ตั้งอยู่ในมรรคผลอย่างนั้นเหมือนกัน โลกก็ไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”

เมื่อจบพระธรรมเทศนา สุภัททปริพาชกเกิดดวงปัญญาสว่างไสว ความมืดในจิตใจได้ถูกขจัดให้หมดไปด้วยแสงแห่งธรรมของพระพุทธองค์ ความสงสัยที่มีมายาวนานก็หมดสิ้นไป และเกิดความศรัทธาเลื่อมใสอย่างท่วมท้น จึงขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก แล้วกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระพุทธองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ประทานการบวชให้

เมื่อสุภัททปริพาชกบรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นาน ก็หลีกออกจากหมู่ไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตแน่แน่วดำเนินไปในหนทางสายกลาง อันประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์๘ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

เมื่ออริยมรรคมีองค์๘ รวมกันถูกส่วนเข้า เกิดเป็นดวงเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค ท่านดำเนินจิตต่อไปโดยเอาใจหยุดนิ่งต่อไปอีก ก็เข้าถึงดวงธรรมไปตามลำดับ เข้าถึงกายภายในตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม จนกระทั่งถึงกายธรรม

กายธรรมนี่แหละเป็นกายของสมณะที่แท้จริง ได้เข้าถึงสมณะที่๑ คือ พระโสดาบัน สมณะที่๒ คือ พระสกิทาคามี สมณะที่๓ คือ พระอนาคามี สมณะที่๔ คือ พระอรหัต ถึงกายธรรมอรหัต หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถึงที่สุดแห่งทุกข์ อยู่จบพรหมจรรย์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ภพชาติสิ้นแล้ว กิจที่จะทำยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าสำเร็จกิจอันสูงสุดแล้ว

เป้าหมาย คือ จะต้องเข้าถึงสมณะที่๔ คือ กายธรรมอรหัตให้ได้ เพราะกายนี้เท่านั้น ที่กำจัดทุกข์ได้หมดสิ้น ขจัดกิเลสอาสวะได้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เมื่อเราเข้าถึงแล้วก็รู้ได้ด้วยตนเอง ด้วยธรรมจักษุ และญาณทัสสนะของธรรมกายว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ได้เป็นสมณะที่แท้จริงแล้ว กิจที่ควรทำหรือกรณียกิจทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก

ท่านสุภัททะก็ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งผู้ทรงอภิญญา ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย และท่านก็เป็นพยานสาวกองค์สุดท้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ยืนยันเกี่ยวกับเรื่องสมณะภายใน คือ ธรรมกาย ได้อย่างสมบูรณ์ว่า ตราบใดที่ยังมีสมณะที่๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ประพฤติปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์

จะเห็นได้ว่า การที่จะเข้าถึงความเป็นสมณะ คือ ผู้มีกายสงบ วาจาสงบ และใจสงบได้นั้น จะต้องดำเนินจิตไปตามหนทางอันประเสริฐ อันประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ประการ เมื่อมรรคมีองค์๘ ครบถ้วนบริบูรณ์ ใจหยุดถูกส่วนเข้า ใจจะตกวูบลงไปที่ศูนย์กลางกาย ดวงปฐมมรรคจะบังเกิดขึ้น เห็นเป็นดวงกลมใสแจ่มอยู่ภายใน ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องของหนทางไปสู่ความเป็นสมณะที่แท้จริง ให้ดำเนินจิตเข้าไปในหนทางสายกลาง จนเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม และกายธรรม ไปตามลำดับ กายธรรมมีลักษณะที่สวยงาม เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นแก้ว สมบูรณ์ด้วยลักษณะมหาบุรุษ งามไม่มีที่ติ งามกว่าทุกกายที่ผ่านมา

กายธรรมหรือธรรมกายนี่แหละ ที่จะทำให้เราเป็นสมณะที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์ เมื่อเราเข้าถึงแล้วพึ่งท่านได้ เวลามีทุกข์ก็ช่วยให้เราพ้นทุกข์ เวลามีความสุขก็เพิ่มเติมความสุขให้ยิ่งขึ้นไป จะรู้สึกอบอุ่นใจและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นภัยในอบายภูมิ หรือภัยในสังสารวัฏ เราจะปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหมด เข้าถึงธรรมกายแล้ว ปิดประตูอบายภูมิได้ และย่อมเป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า แล้วเราก็จะมุ่งไปสู่อายตนนิพพาน อันเป็นจุดหมายปลายทางของทุกชีวิต เพราะฉะนั้น ให้ตั้งใจฝึกใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้ แล้วเราจะได้เป็นผู้สงบพบสันติสุขภายในอย่างแท้จริง

*มก. มหาปรินิพพานสูตร เล่ม ๑๓ หน้า ๓๑๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/4228
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๕

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *