ยมกปาฏิหาริย์

ยมกปาฏิหาริย์

เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี การสร้างบารมีเป็นงานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ พระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อนท่านก็ทำอย่างนี้ คือสร้างบารมีไปจนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยม ได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต  ดังนั้น เราเกิดมาภพชาติหนึ่งก็เพื่อสั่งสมบุญบารมีเท่านั้น บุญที่เราได้ทำไว้ดีแล้วจะเป็นเสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต คือ การทำจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ได้เข้าถึงบรมสุขอันเป็นนิรันดร เข้าถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน

มีธรรมภาษิตใน นานาติตถิยสูตรว่า
“วิปุโล ราชคหิยานํ     คิริ เสฏฺโฐ ปวุจฺจติ
เสโต หิมวตํ เสฏฺโฐ     อาทิจฺโจ อฆคามินํ
สมุทฺโททธินํ เสฏฺโฐ     นกฺขตฺตานญฺจ จนฺทิมา
สเทวกสฺส โลกสฺส     พุทฺโธ อคฺโค ปวุจฺจติ

ภูเขาวิบุละ เขากล่าวกันว่าเป็นภูเขาสูงเยี่ยมกว่าภูเขาที่ตั้งอยู่ในพระนครราชคฤห์ เสตบรรพต เป็นเลิศกว่าภูเขาในป่าหิมพานต์ ดวงอาทิตย์เป็นเลิศกว่าสิ่งใดๆ ในนภากาศ มหาสมุทรเป็นเลิศกว่าห้วงมหานที ดวงจันทร์เป็นเลิศกว่าหมู่ดาวทั้งปวง พระพุทธเจ้าเป็นเลิศกว่าสรรพสัตว์ในโลก และเทวโลก”

พระบรมโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านต้องสร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว สละได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ คือ ญาณหยั่งรู้ในสรรพศาสตร์ที่เป็นเหตุให้รู้แจ้งโลกทั้งปวง การสร้างบารมีของท่านถึงกับมีอุปมาไว้ว่า ในเส้นทางการสร้างบารมี แม้จะมีถ่านเพลิงร้อนระอุตลอดเส้นทางมาขวางกั้น หรือจะมีทะเลเพลิงลุกโพลงโชติช่วงจนมองไม่เห็นฝั่ง แต่หากรู้ว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้า คือ ฝั่งแห่งพระนิพพานอันเป็นบรมสุข ท่านก็จะอดทนฝ่าฟันข้ามไป เพื่อแลกกับการได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะยอมสละทุกสิ่ง เพื่อพระสัทธรรมอันประเสริฐ

เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงเป็นเอกอัครบุรุษในโลก ที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า หรือจะมาเทียบเท่าได้ พระองค์เป็นบรมครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ทรงสมบูรณ์พร้อมทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งทศพลญาณ  เวสารัชชญาณ  วิชชา ๓  วิชชา ๘  อภิญญา ๖  ปฏิสัมภิทาญาณ ๔  จรณะ ๑๕  คุณวิเศษทุกอย่างนี้ ไม่มีใครจะมาเทียมพระองค์ได้

* เพราะฉะนั้น  เมื่อถึงคราวที่พระพุทธองค์ทรงปรารภว่า จะแสดงปาฏิหาริย์ เป็นการประกาศอานุภาพของพระรัตนตรัย และยกใจมหาชนผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หรือที่เลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสยิ่งๆขึ้นไป บรรดาพระอริยสาวกผู้มีอานุภาพ ต่างมาขออาสาจะแสดงปาฏิหาริย์แทนพระองค์ เพราะแค่ลำพังพระสาวกทำปาฏิหาริย์ มหาชนก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้พระพุทธองค์มาแสดงเอง แต่พระองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต

พระพุทธเจ้า ทรงเริ่มแสดงปาฏิหาริย์ ด้วยการเนรมิตรัตนจงกรมในอากาศ แล้วขึ้นไปปรากฏพระวรกายบนรัตนจงกรมนั้น ให้มหาชนได้เห็นกันหมด พระองค์ทรงอธิษฐานให้เกิดท่อไฟพุ่งออกจากพระวรกายเบื้องบน ท่อธารน้ำไหลออกจากพระวรกายเบื้องล่าง และให้ท่อไฟพุ่งออกจากเบื้องล่าง สายน้ำไหลออกจากเบื้องบนสลับกันไป มีความสวยงามมาก และเปล่งรัศมีสว่างไสวด้วยฉัพพรรณรังสี มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีหงสบาท และประภัสสรเลื่อมพรายใสสว่างตลอดเวลา มหาชนแลดูแล้วต่างเย็นตาเย็นใจ มองดูไม่กระพริบตากันเลยทีเดียว

จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเนรมิตพระธรรมกายขึ้นเป็นพุทธเนรมิต ถ้าพระพุทธเนรมิตนั่ง พระองค์ก็ทรงประทับยืน ถ้าพระพุทธเนรมิตจงกรม พระองค์ก็จะประทับนั่ง ถ้าพระพุทธเนรมิตสำเร็จสีหไสยาสน์ พระองค์ก็จะทรงจงกรม สลับกันไปมาอยู่อย่างนี้ ทรงเนรมิตกายเป็นพันๆ กายทีเดียว ดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ก็เป็นความจริง และมีปรากฏในพระไตรปิฎกด้วย

เมื่อพระองค์เข้าเตโชกสิณสมาบัติ ท่อไฟก็พุ่งออกจากพระวรกาย  เมื่อเข้าอาโปกสิณสมาบัติ สายน้ำไหลออกมา แล้วท่อไฟกับสายน้ำก็ไหลออกมาพร้อมๆ กัน พุ่งขึ้นไปถึงพรหมโลก และครอบคลุมไปถึงสุดขอบจักรวาล พระฉัพพรรณรังสีของพระบรมศาสดาก็แผ่ขยายจากจักรวาลหนึ่งไปสู่อีกจักรวาลหนึ่ง เป็นเหมือนทองคำที่ละลายสุกปลั่งโชติช่วง ซึ่งกำลังไหลออกจากเบ้า และแผ่ขยายไปจรดพรหมโลก แล้วสะท้อนกลับมาสุดขอบจักรวาล ทั้งท่อไฟ สายน้ำ และฉัพพรรณรังสี พวยพุ่งทับทวีเป็นชั้นๆ สว่างไสวสวยงามอลังการ เป็นที่น่าอัศจรรย์มากทีเดียว

ที่มหัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น คือ การแสดงปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น ทำให้มหาชนมีใจหยุดนิ่งประสานกันเป็นดวงเดียว แม้จะมีคนนับล้านก็เหมือนเป็นหนึ่ง ใจทุกดวงดื่มด่ำในรสพระธรรม ดวงตาทุกคู่ต่างได้เห็นสิ่งที่เป็นสิริมงคล เป็นทัสสนานุตตริยะ ส่วนดวงใจก็สว่างไสว ได้บรรลุธรรมาภิสมัย เข้าถึงพระธรรมกายกันมากมาย เมื่อมหาชนทำสาธุการ เสียงก็ดังกึกก้องไปถึงพระนิพพาน

พระบรมศาสดาทรงตรวจดูวาระจิตของมหาชน ทรงรู้วาระจิตของทุกคนด้วยอาการถึง ๑๖ อย่าง คือ รู้ว่าแต่ละคนคิดอะไรบ้าง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รู้ว่าเขามีความปรารถนาอยากจะดู อยากจะเห็นอะไร พระองค์ก็ทรงให้สมความปรารถนาทุกอย่าง ใครเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไร หรือในปาฏิหาริย์ชนิดไหน พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมนั้นๆ และทำปาฏิหาริย์ให้เหมาะกับจริตอัธยาศัยของแต่ละบุคคล

ขณะที่พระพุทธองค์ทำปาฏิหาริย์อยู่นั้น ไม่ทรงเห็นผู้ที่จะสามารถถามปัญหาพระองค์ได้ จึงทรงเนรมิตพระพุทธเนรมิตขึ้นเพื่อเป็นผู้ถาม และพระองค์ก็ทรงเฉลยปัญหาที่ถามนั้น ทรงผลัดกันถามผลัดกันตอบในเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง นำมาซึ่งความรู้แจ้ง และความสุขใจอย่างไม่มีประมาณ มหาชนได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ได้ฟังสิ่งที่เป็นสวนานุตตริยะ คือ ฟังธรรมที่พระมุนีผู้รู้ถามตอบกัน ต่างมีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ตนเองฟังผู้เดียวเท่านั้น แม้จะฟังอยู่ไกลถึงหมื่นโยชน์แสนโยชน์ ก็เหมือนกับพระองค์อยู่ต่อหน้าอย่างนั้น

การแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงเป็นคู่ๆ เช่นแสดงท่อไฟ และสายน้ำ แสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ คู่กับพระพุทธเนรมิต ถามตอบธรรมะกัน และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้น คือ นอกจากจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว ยังทรงแสดงธรรมควบคู่กันไปด้วย จึงเรียกว่า ยมกปาฏิหาริย์ คือ ปาฏิหาริย์ที่ทำเป็นคู่ๆ ทำให้สรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมกันมากมาย ในพระไตรปิฎกได้กล่าวว่า ได้บรรลุธรรมกันถึง ๒๐ โกฏิกันทีเดียว

เมื่อพระบรมศาสดากำลังทำปาฏิหาริย์อยู่นั้น ทรงดำริว่า พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย  เมื่อทำปาฏิหาริย์นี้แล้ว พระองค์เสด็จจำพรรษากันที่แห่งใด ทรงเห็นว่า พระองค์อยู่จำพรรษาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดา จากนั้นทรงแสดงพุทธานุภาพ ด้วยการยกพระบาทเบื้องขวาเหยียบเหนือยอดภูเขายุคันธร ยกพระบาทเบื้องซ้ายเหยียบเหนือยอดภูเขาสิเนรุ เพียงย่างพระบาท ๓ ก้าว ก็ไปได้ไกลถึง ๖ ล้าน ๘ แสนโยชน์ ทั้งๆ ที่การก้าวของพระองค์ก็เหมือนกับคนธรรมดาก้าว แต่ในเวลาที่พระองค์ทรงยกพระบาทขึ้น ยอดเขาก็จะน้อมมารองรับพระบาทไว้  เมื่อเหยียบแล้ว ภูเขาก็จะกลับมาตั้งอยู่เช่นเดิม

นี่คือเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เป็นอจินไตย เป็นพุทธานุภาพซึ่งพรั่งพร้อมทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ ที่เกิดจากการสั่งสมบุญบารมีมายาวนานถึง ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป ท่านจึงมีอานุภาพไม่มีประมาณ ไม่มีสาวกรูปใดที่จะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เทียบเท่าพระองค์ได้ ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงต้องแสดงปาฏิหาริย์เอง ซึ่งก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ

เราได้เห็นถึงประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์แล้วว่า พระองค์เป็นผู้ให้มาโดยตลอด สละได้แม้กระทั่งสิ่งอันเป็นที่รัก เพื่อสิ่งที่รักยิ่งกว่า คือ พระโพธิญาณ  เมื่อตั้งความปรารถนาในสิ่งที่ดี ก็ทุ่มสุดตัว พระองค์จึงเป็นผู้มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพมาก หากพวกเราปรารถนาจะพรั่งพร้อมทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์เหมือนอย่างพระองค์ ก็ให้ตั้งใจทุ่มเทสร้างบารมีกันให้เต็มที่ โดยเฉพาะการทำสมาธิภาวนา ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้หมั่นทำกันไปทุกๆ วัน วันละหลายๆ ครั้ง ทำให้สม่ำเสมอ ใจของเราจะมีพลัง ซึ่งอานุภาพที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และน่าอัศจรรย์มาก  เพราะฉะนั้น ให้ขยันหยุดใจ ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้กันทุกคน

* มก. เรื่องยมกปาฏิหาริย์ เล่ม ๔๒ หน้า ๒๙๘

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/7755
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

2 thoughts on “ยมกปาฏิหาริย์”

  1. น้อมกราบ สาธุๆ สาธุครับ
    🏵️🌼💐🌸🏵️🌸💐🌼🏵️

  2. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌺🌸💮🌼🌷🌷🌼💮🌸🌺🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *