มหาปูชนียาจารย์ (1)

มหาปูชนียาจารย์ ๑ (คำพยากรณ์สมัยอยุธยา)

“ธรรมกาย” เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าถึงได้ เราจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์  และจะได้รับอานิสงส์ใหญ่ ไม่ว่าเราจะทำความดีเพียงเล็กน้อย  ปานกลาง หรือว่ายิ่งใหญ่ก็ตาม  มหากุศลจะบังเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการทำความดี  เพราะพระธรรมกายเป็นต้นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ จึงสามารถรองรับบุญกุศลได้อย่างดีเยี่ยม เพราะฉะนั้น การได้เข้าถึงพระธรรมกาย จะทำให้ชีวิตของเราก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ได้ในที่สุด เราจึงควรปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงธรรมกันทุกๆ คน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า
“ปูชา จ ปูชนียานํ  เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
การบูชาปูชนียบุคคลทั้งหลาย นี้เป็นมงคลอันสูงสุด”

เคยมีคำพยากรณ์มาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดี๋ยวนี้ได้จารึกไว้ในหนังสือเก่าๆ เขาเขียนไว้อย่างนี้ว่า “จะมีพระเถระจากสุพรรณบุรี เกิดในยุคธรรมิกมหาราช จะค้นคว้าวิชชาหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา และจะเผยแผ่ไปยังนานาชาติ ชาวต่างประเทศจะมาศึกษา แล้วโลกจะมีสันติสุขที่แท้จริง  พระเถระรูปนี้จะมีลูกศิษย์ที่ได้อภิญญาทั้งหญิงและชาย  เวลาที่ท่านรับแขก ลูกศิษย์ที่ได้วิชชานั้น จะนั่งอยู่ใกล้ๆ  พระเถระรูปนี้จะมีศิษย์เป็นพระสังฆราชา  และต่อมาจะได้เผยแผ่วิชชานี้ ในยุคของธรรมิกมหาราชซึ่งเป็นคนไทยแต่ไปเกิดในต่างประเทศ”

นี่ท่านว่าอย่างนี้ สรุปง่ายๆ คือว่า จะมีพระเถระจากสุพรรณบุรี ค้นพบวิชชาธรรมกายนั่นเอง และวิชชานี้ ต่อไปจะแผ่ขยายไปทั่วโลก ชาวโลกจะมาศึกษา แล้วจะได้รับความร่มเย็นเป็นสุข พระเถระท่านนี้ จะมีลูกศิษย์ได้ธรรมกาย และลูกศิษย์ท่านที่เป็นสังฆราชก็คือสมเด็จป๋าวัดโพธิ์ เป็นอย่างนั้นจริงๆ จะเผยแผ่วิชชานี้ในยุคธรรมิกมหาราชา คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน  พระองค์เสด็จพระราชสมภพที่อเมริกา มลรัฐแมสซาชูเซตส์  นี่เป็นคำพยากรณ์ตั้งแต่สมัยอยุธยา  เป็นเรื่องที่ผู้มีรู้มีญาณได้พยากรณ์เอาไว้

* หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเกิดมาเพื่อยังประโยชน์สุขให้แก่ชาวโลก โดยมุ่งไปขจัดต้นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อนึกถึงหลวงปู่วัดปากน้ำขึ้นมาทีไร ทำให้เกิดกำลังใจ เกิดมหาปีติขึ้นมาอย่างท่วมท้น  ถึงกับขนลุกชูชันทีเดียว เพราะรู้สึกว่าเป็นบุญลาภของเรา ที่ได้ต้นแบบของยอดนักสร้างบารมี ผู้จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน  พอท่านเข้าถึงวิชชาธรรมกาย และรู้เรื่องราวของชีวิต ท่านก็มุ่งที่จะปราบมารอย่างเดียว ไม่รอนแรมไปจำพรรษาที่อื่นเลย ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปฏิบัติธรรม ชนิดยอมตายไม่ยอมแพ้กัน

ฉะนั้น พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนีหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญจึงเป็นมหาปูชนียาจารย์ที่หาได้ยากใน และการค้นพบวิชชาธรรมกาย เป็นความปลื้มปีติของเหล่าศิษยานุศิษย์ที่ได้มาศึกษาวิชชาธรรมกาย  ซึ่งเป็นความรู้อันนำไปสู่การรู้แจ้งเห็นจริงนี้  ดังชีวประวัติบุคคลสำคัญของมวลมนุษยชาติท่านนี้อย่างย่อๆ  ให้พวกเราทั้งหลายได้รับทราบกันเอาไว้

หลวงปู่วัดปากน้ำมีชื่อจริงว่า สด นามสกุล มีแก้วน้อย เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๒๗  ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำเดือน ๑๑ ปีวอก  ณ หมู่บ้านฝั่งตรงข้ามวัดสองพี่น้อง  อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี  โยมพ่อของท่านชื่อเงิน  โยมมารดาชื่อสุดใจ  ตระกูลของท่านเป็นตระกูลคหบดีในคลองสองพี่น้อง  ทำการซื้อขายข้าวทั่วทั้งอำเภอสองพี่น้อง และอำเภอใกล้เคียง  ท่านเป็นลูกคนที่สองของครอบครัว มีพี่สาวหนึ่งคน ชื่อดา น้องชายสามคน ชื่อใส  ชื่อผูก และชื่อสำรวย

หลวงปู่ท่านเล่าเรื่องในวัยเด็กของท่านว่า สมัยที่ท่านเป็นเด็กเล็กๆ ยังไม่อดนม โยมแม่เอาท่านใส่เปลไว้ที่บ้าน แล้วก็เอาข้าวเย็นปั้นเป็นก้อน ใส่ปากให้ท่านดูดกันหิว  จากนั้นโยมแม่จึงออกไปค้าขาย  ท่านก็สอนตัวเองว่า “เออ ตอนนี้เราอย่าเพิ่งหิวเลยนะ  อย่าไปกวนแม่ เราดูดข้าวแทนไปก่อน” ทำให้โยมแม่ของท่านไม่ลำบากในการเลี้ยงดูท่านเลย

ตอนเล็กๆ ท่านเป็นเด็กน่ารัก ทั้งอ้วนทั้งขาว ไปบ้านไหนเขาก็ขออุ้ม เป็นที่รักของทุกคน สมัยที่ท่านยังพูดไม่ค่อยได้  ท่านอยากรู้ว่าเวลาคนโกหกเขาทำกันอย่างไร  ตอนกลางคืน มีพี่เลี้ยงมาอุ้มท่านใส่เอว ท่านก็ชี้ไปที่ดวงจันทร์บนฟ้า พร้อมกับส่งเสียงร้องตามประสาเด็ก พี่เลี้ยงก็พูดว่า “อ๋อ จะเอาพระจันทร์เหรอ เดี๋ยวจะเอามาให้”  ท่านจึงรู้ว่าเขาโกหกกันอย่างนี้เอง

หลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านไม่เหมือนเด็กทั่วไป เวลาใจสบายท่านจะร้องเพลง และมักจะร้องเพลง ที่วนเวียนเกี่ยวกับพระนิพพาน เช่นท่านร้องว่า

“เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร  อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง  ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย  เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป  เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้”

เมื่อท่านอายุได้ ๑๔ ปี โยมพ่อก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงได้ไปช่วยดูแลการค้าข้าวแทน ภารกิจใหม่ของท่าน คือ ล่องเรือค้าข้าวระหว่างสองพี่น้องกับกรุงเทพฯ เดือนละ ๒-๓ ครั้ง  ในระหว่างทำการค้า ท่านได้รับการยอมรับนับถือจากทุกคน เพราะเป็นคนขยัน  ท่านทำการค้าขาย เลี้ยงโยมแม่ และสมาชิกในครอบครัวเรื่อยมา จนอายุย่างเข้า ๑๙ ปี  วันหนึ่ง ขณะที่ท่านนำเรือเปล่ากลับบ้าน จำเป็นต้องลัดผ่านคลองเล็กๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “คลองบางอีแท่น” อยู่เขตอำเภอนครชัยศรี  ซึ่งสมัยนั้นเปลี่ยวมาก เรือค้าขายที่ผ่านไปมามักถูกปล้นอยู่บ่อยๆ  ท่านเล่าว่า “อ้ายน้ำก็เชี่ยว อ้ายคลองก็เล็ก อ้ายโจรก็ร้าย”

คราวนั้น เรือของท่านผ่านเข้าไปในคลองนี้เพียงลำเดียว สักครู่หนึ่งสัญชาตญาณ แห่งความกลัวก็เกิดขึ้น ทำให้คิดจะเอาตัวรอด จึงเปลี่ยนเอาลูกเรือมาถือท้ายแทน เพราะธรรมดาเมื่อโจรปล้น จะทำร้ายผู้ถือท้ายเรือซึ่งเป็นเจ้าของก่อน  ถ้าท่านไปอยู่ทางหัวเรือ  ก็มีโอกาสต่อสู้ได้ง่าย  ท่านจึงเปลี่ยนไปอยู่หัวเรือ พร้อมกับปืนยาวที่บรรจุกระสุนไว้ ๘ นัด  ขณะที่เรือแล่นเข้าสู่ที่เปลี่ยวมากขึ้นทุกทีๆ  ท่านก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า

คนพวกนี้ เราจ้างเขาคนละ ๑๑-๑๒ บาทเท่านั้น  ส่วนเราเป็นเจ้าของทั้งเรือทั้งทรัพย์ จะโยนความตายไปให้ลูกจ้างก่อน ดูจะเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์มากเกินไป  ทำอย่างนี้ไม่ถูกไม่สมควร ทรัพย์ก็ของเรา เรือก็ของเรา เราสมควรที่จะตายก่อน  เมื่อมีภัยมาถึง เขาจะได้หนีเอาตัวรอดไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียของเขาได้อีก

เมื่อตกลงใจเช่นนั้น  ท่านจึงเรียกลูกเรือให้มาถ่อเรือแทน ส่วนท่านก็กลับไปถือท้ายเรือตามเดิม ยอมเสี่ยงตายแต่เพียงผู้เดียว พอผ่านจุดอันตรายมาได้  ท่านก็เกิดธรรมสังเวชขึ้นว่า

เราผ่านพ้นอันตรายมาได้แล้ว เป็นบุญแท้ๆ การหาเงินหาทองเป็นเรื่องลำบากเสียจริงๆ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ พ่อของเราก็หากินมาอย่างนี้ เงินทองที่หามาได้ทั้งหมดนี้ ต่างคนต่างก็หา ไม่มีเวลาหยุดเลย  ถ้าใครไม่รีบหาไว้ให้มั่งมี ก็เป็นคนต่ำคนเลว  ไม่มีใครนับหน้าถือตาสมาคมด้วย มาจนบัดนี้ บรรพบุรุษของเราก็ตายไปหมดแล้ว  แม้เราก็ต้องตายเหมือนกัน เราจะมัวแสวงหาทรัพย์อยู่ทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้

ท่านคิดถึงแต่เรื่องความตายอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วก็จุดธูปบูชาพระ พร้อมกับอธิษฐานว่า “ขออย่าให้ข้าพเจ้าตายเสียก่อน ขอให้ได้บวชก่อน เมื่อบวชแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขา ขอบวชไปจนตลอดชีวิต”

นี่ท่านคิดอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านสอนตัวเองได้ เพราะเห็นทุกข์ เห็นโทษในการครองเรือน จึงคิดจะหาทางหลุดพ้นให้กับตัวเอง  แสดงว่าบุญในตัวของท่านมีมาก จึงคิดที่จะหลุดพ้นอย่างเดียว ไม่คิดเรื่องแต่งงานหรือมีครอบครัวเลย ความคิดที่ยิ่งใหญ่ คือคิดที่จะพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏนั่นเอง

พวกเราเหล่าศิษยานุศิษย์ของท่าน ก็ควรดำเนินตามเยี่ยงอย่างท่าน คือคิดที่จะแสวงหาทางพ้นทุกข์  แสวงหาพระนิพพาน แล้วก็มุ่งชำระกาย วาจา ใจ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ตามท่านไปด้วย ฉะนั้น ให้หมั่นทำใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้  แล้วครั้งต่อไปจะได้นำเกร็ดประวัติชีวิตของท่าน มาเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบกันอีก  จะได้มีกำลังใจในการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

* พระมงคลเทพมุนี ประวัติหลวงพ่อวัดปากน้ำ และคู่มือสมภาร

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/7665
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “มหาปูชนียาจารย์ (1)”

  1. น้อมกราบ สาธุๆ สาธุครับ
    🏵️🌼💐🌸🏵️🌸💐🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *