ผู้ควรประดับดอกไม้ทิพย์ (ปุโรหิตลวงโลกอยากได้ดอกไม้ทิพย์กล่าวเท็จต่อเทพบุตรทั้ง 4 ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส)

ผู้ควรประดับดอกไม้ทิพย์ (ปุโรหิตลวงโลกอยากได้ดอกไม้ทิพย์กล่าวเท็จต่อเทพบุตรทั้ง 4 ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส)

ทุกชีวิตที่เกิดมาในสังสารวัฏ ต่างเคยผ่านการเกิดในทุกภพทุกภูมิ ทั้งชีวิตในระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่างมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือยาจกเข็ญใจ เพราะชีวิตมีการขึ้นลงไปตามอำนาจแห่งบุญและบาปที่ได้ทำไว้ในภพชาตินั้นๆ ถ้าทำบุญมากย่อมได้รับผลที่ดี เสวยสุขในสุคติภูมิ ชีวิตจะประสบแต่สิ่งที่ดีงาม มีแต่ความสุขความสำเร็จในชีวิต ถ้าทำบาปอกุศลไว้มาก ก็ต้องไปเสวยวิบากแห่งกรรมในอบายภูมิ นี้เป็นวงจรชีวิตของสรรพชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะหลีกหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ดังนั้น เราเกิดมาแล้วต้องสร้างบารมีให้เต็มที่ เพิ่มพูนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง และวิธีที่จะทำความบริสุทธิ์ได้อย่างดีที่สุด คือต้องหมั่นปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว ทำใจหยุดใจนิ่งบ่อยๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตของเราจะสำเร็จสมหวังมีแต่ความสุขตลอดกาลนาน

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย เถรคาถา ว่า

“สีลํ รกฺเขยฺย เมธาวี ปตฺถยาโน ตโย สุเข
ปสํสํ วิตฺตลาภญฺจ เปจฺจ สคฺเค ปโมทนํ

ผู้มีปัญญา เมื่อปรารถนาความสุข ๓ ประการ คือ คำสรรเสริญ ๑ การได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ ๑ ละโลกแล้วได้บันเทิงในสวรรค์ ๑ พึงรักษาศีล”

บุคคลทั้งหลายในโลกนี้ น้อยคนนักที่จะถึงพร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิที่บริบูรณ์ รู้จักมองโลกไปตามความเป็นจริง มองการณ์ไกล ไม่ใช่เฉพาะแต่ภพชาตินี้เท่านั้น แต่หมายถึงว่าต้องมองไปยังภพชาติเบื้องหน้าอีกด้วย และรู้จักวางแผนชีวิตให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องสมบูรณ์ รู้จักตักตวงบุญกุศล ด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ส่วนใหญ่คนเรายังข้องเกี่ยวอยู่กับการทำมาหากิน เรื่องครอบครัว และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ทำให้วันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย โดยลืมนึกถึงเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ลืมหนทางพระนิพพาน ดังนั้นความคิดที่จะทำความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้เกิดขึ้นจึงเลือนหายไป ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่ ตกอยู่ในความประมาท จมอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์

ผู้มีปัญญาที่เป็นนักปราชญ์บัณฑิต ล้วนเห็นความสำคัญของการสร้างบารมี โดยมองเห็นว่า การที่จะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ด้วยความดีงาม และสิ่งที่ปรารถนาได้นั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศล โดยการรักษาศีล ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของชีวิต เพราะศีลเป็นความปกติของมนุษย์ ศีล มีตั้งแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ

ไม่ว่าผู้ที่มีศีลจะอยู่ที่ใด ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย เวลาที่รับศีล บทสรุปของศีลที่พระภิกษุท่านได้สรุปตอนท้ายที่ว่า สีเลน สุคตึ ยนฺติ นั้นแปลว่า ชนทั้งหลาย ไปสู่สุคติได้ด้วยศีล สีเลน โภคสมฺปทา เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยโภคะก็ด้วยศีล และประการสุดท้าย ที่ว่า สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ แปลว่า การไป สู่นิพพานได้ก็ด้วยศีล นี่เป็นบทที่พระท่านกล่าวสรุปทุกครั้งเวลาให้ศีล เมื่อทุกท่านได้รู้คำแปลอย่างนี้แล้ว จะได้เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในการรักษาศีลของเราว่า หากเราได้รักษาศีลอย่างดีแล้ว จะได้รับผลดี จนกระทั้งทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

ต่างกับคนที่ทุศีล แม้จะพยายามบอกหรือป่าวประกาศว่า ตนเองเป็นคนมีศีล แต่ความเป็นคนทุศีลนั้น ก็ยังเป็นความจริงที่หลอกตนเองไม่ได้ ครั้งแรกอาจมีคนหลงเชื่อถ้อยคำ แต่ไม่นาน ความเป็นคนทุศีลนั้น ย่อมปรากฏแก่ผู้คนทั้งหลาย ผู้ทุศีลนั้น ย่อมได้เสวยผลกรรมทันตาเห็น

* ดังเช่นครั้งพุทธกาล เมื่อคราวที่พระเทวทัตยุยงทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน พระอัครสาวกทั้งสอง คือพระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ได้เดินทางไปโปรดหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดให้กลับมา พระเทวทัตพอทราบว่าพระภิกษุที่เคยเป็นฝักฝ่ายของตน ตามพระอัครสาวกไป รู้สึกคับแค้นใจมาก ถึงกับกระอักโลหิต เรื่องราวได้มาถึงวงสนทนาของพวกพระภิกษุ ท่านสนทนากันว่า พระเทวทัตกล่าวมุสาวาททำสังฆเภท ตอนนี้เสวยทุกขเวทนาปางตาย

ขณะนั้นพระศาสดาเสด็จมาถึงพอดี และได้รับฟังข้อความนั้น จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตกล่าวเท็จแล้วเจ็บป่วยปางตาย ไม่ใช่แต่ชาตินี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนเธอก็ได้เสวยทุกขเวทนามากเช่นกัน” จากนั้นพระองค์ทรงนำอดีตชาติมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่งในภพดาวดึงส์ สมัยนั้น นครพาราณสีเป็นเมืองที่ได้รับการกล่าวขานกันมาก ว่าเป็นเมืองที่สวยงามไม่แพ้เมืองใดๆ ในโลก ได้มีการจัดมหรสพใหญ่ขึ้น พวกนาค ครุฑ และภุมเทวาเป็นจำนวนมากต่างพากันมาดูมหรสพ เทพบุตรทั้ง ๔ องค์ก็ลงมาจากภพดาวดึงส์ ประดับเครื่องประดับที่สวยงาม เทริดด้วยดอกไม้ทิพย์ ชื่อกักการุ ดอกไม้ทิพย์ชนิดนี้มีกลิ่นที่หอมมาก ทำให้พระนครประมาณ ๑๒ โยชน์ มีกลิ่นหอมตลบอบอวล ด้วยดอกไม้ชนิดนั้น พอชาวเมืองได้สูดดมกลิ่นดอกไม้อย่างนี้ ก็พากันแสวงหาว่า ใครประดับดอกไม้ชนิดนี้บ้าง

เมื่อเหล่าเทพบุตรรู้ว่ามนุษย์กำลังค้นหาผู้ทัดดอกไม้ จึงเหาะขึ้นกลางเวหายืนอยู่ด้วยเทวานุภาพที่ยิ่งใหญ่ มีรัศมีแผ่ออกไป ยังอาณาบริเวณนั้นให้สว่างไสวด้วยเทวรังสี พระราชาก็ดี มหาเศรษฐีก็ดี พวกข้าราชบริพารทั้งหลาย ต่างมาประชุมกันแล้วถามว่า “พวกท่านมาจากไหน” เทวดาทั้งสี่ก็ตอบไปว่า “พวกเรามาจากชั้นดาวดึงส์ มาเพื่อต้องการชมมหรสพในเมืองมนุษย์”

สายตาของมนุษย์ทุกคู่ได้มองไปเห็นดอกไม้ทิพย์ ที่สวยสดงดงามที่กำลังส่งกลิ่นหอมหวน จึงเอ่ยปากถามว่า “ดอกไม้ที่ท่านประดับอยู่นั้น เป็นดอกไม้ชนิดใด” เหล่าเทวาตอบว่า “ดอกไม้นี้เป็นบุปผาทิพย์” พวกมนุษย์ทั้งหลายจึงพากันอยากได้ จึงได้ส่งเสียงอื้ออึงว่า “ท่านเทพบุตร ในเทวโลกมีดอกไม้มากมาย ขอท่านได้โปรดให้ดอกไม้ทิพย์แก่พวกเราเถิด”

เทพบุตรเหล่านั้นบอกว่า “ดอกไม้ทิพย์นี้มีอานุภาพมาก ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ผู้ทุศีล มีอัธยาศัยต่ำทราม แต่สมควรเฉพาะมนุษย์ที่มีศีลเท่านั้น”

เทพบุตรองค์ที่ ๑ จึงกล่าวว่า “ผู้ใดไม่ลักสิ่งของด้วยกาย ไม่พูดเท็จด้วยวาจา ได้รับยศแล้วไม่มัวเมา ผู้นั้นควรที่จะได้ประดับดอกไม้ทิพย์นี้” ขณะที่เทพบุตรกล่าวนั้น ปุโรหิตมีความปรารถนาอยากจะได้ จึงคิดว่า เราไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวเลย แต่จะโกหกเอาดอกไม้เหล่านั้นมา และมหาชนจะได้รู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล จึงรีบตอบว่าตนเองเป็นผู้มีศีล เทพบุตรจึงให้ดอกไม้นั้นมาประดับ เท่านั้นยังไม่พอ ยังอ้อนวอนเทพบุตรองค์ที่สองอีก

เทพบุตรองค์ที่สองกล่าวว่า “ใครที่หาทรัพย์มาได้โดยชอบธรรม ไม่ล่อลวงเอาทรัพย์มา ได้โภคทรัพย์แล้วไม่มัวเมา ผู้นั้นควรที่จะประดับดอกไม้ทิพย์” ปุโรหิตกล่าวคำเท็จว่าตนเองมีคุณสมบัติเหล่านี้ เทพบุตรจึงให้ดอกไม้ทิพย์ เมื่อได้แล้วยังขอกับองค์ที่สามอีก

เทพบุตรองค์ที่สามกล่าวว่า “ผู้ที่มีจิตมั่นคง มีศรัทธาไม่คลอนแคลน ไม่บริโภคของดีเพียงคนเดียว ผู้นั้นแลควรที่จะประดับดอกไม้ทิพย์” ปุโรหิตใช้วิธีเดิม จนถึงองค์สุดท้าย

เทพบุตรองค์ที่สี่กล่าวว่า “ผู้ที่ไม่บริภาษสัตบุรุษ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง พูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงสมควรที่จะประดับดอกไม้ทิพย์” ปุโรหิตยังกล่าวคำเท็จเพื่อรับเอาดอกไม้นั้นมาประดับอีก

เทวดาทั้งสี่จึงให้เทริดดอกไม้ทิพย์แก่ปุโรหิต จากนั้นก็พากันกลับเทวโลก

ทันทีที่ลับหลังเทพบุตรทั้งสี่ ทุกขเวทนาอันแรงกล้าได้เกิดขึ้นกับปุโรหิต ศีรษะของปุโรหิตเหมือนถูกทิ่มด้วยหอกที่แหลมคม และเหมือนถูกบีบรัดด้วยแผ่นเหล็ก ล้มลงนอนร้องครวญครางบนพื้น มหาชนเห็นอย่างนั้น พากันถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปุโรหิตสารภาพว่า ที่ตนเองเป็นเช่นนี้คงเพราะการพูดเท็จ เพื่อขอดอกไม้ทิพย์กับเทพบุตร แล้วอ้อนวอนมหาชนว่า โปรดช่วยนำเอาดอกไม้ออกจากศีรษะด้วยเถิด ตอนนี้ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

ทุกคนต่างก็ช่วยกันปลดดอกไม้ แต่ไม่สามารถปลดออกได้ ด้วยอานุภาพแห่งวิบากกรรมของปุโรหิตนั้น มหาชนพากันหามท่านปุโรหิตไปส่งที่บ้าน ปุโรหิตร้องครวญครางอยู่ที่บ้านตลอด ๗ วัน แต่ไม่มีวี่แววว่าจะปลดดอกไม้ออกได้ พระราชาและเหล่าอำมาตย์ปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยปุโรหิตผู้ทุศีลนี้ได้ ในที่สุดพากันลงความเห็นว่า ต้องจัดมหรสพครั้งใหญ่อีกครั้ง เพื่อว่าเทพบุตรมาอีก จะได้ช่วยอ้อนวอนเหล่าเทวาให้ช่วยเหลือ ในมหานครก็เลยมีการแสดงมหรสพขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เทพบุตรทั้งหลายก็พากันมาอีก

มหาชนช่วยกันหามปุโรหิตลวงโลกนั้นมาวางไว้เบื้องหน้า ปุโรหิตอ้อนวอนเหล่าเทวดาด้วยน้ำเสียงที่น่าเวทนายิ่งว่า “ขอท่านโปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด” เทพบุตรเหล่านั้นไม่ต้องการให้มหาชนเอาแบบอย่างที่ไม่ดี จึงพากันติเตียนท่ามกลางสมาคมว่า “ดอกไม้เหล่านี้ ไม่สมควรแก่ผู้ทุศีลที่มีแต่บาปธรรม เพราะเข้าใจว่าการโกหกไม่เป็นบาปอะไร แต่ในที่สุด เขาต้องได้รับผลของการทุศีลของตนเอง ช่างน่าอนาถใจนัก บัดนี้ท่านคงได้รับรู้ผลบาปด้วยตนเองแล้ว”

จากนั้นเทพบุตรได้ปลดเทริดดอกไม้ออกจากศีรษะ แล้วได้ให้โอวาทแก่มหาชนให้ดำรงอยู่ในศีล และให้หมั่นประพฤติธรรมแล้วก็จากไปยังเทวโลกตามเดิม พอจบพระธรรมเทศนา พระศาสดาตรัสสรุปว่า ปุโรหิตจอมลวงโลกผู้นั้น คือพระเทวทัต เทพบุตรทั้งสี่ องค์หนึ่งคือพระกัสสปะ องค์หนึ่งคือพระมหาโมคคัลลานะ องค์หนึ่งคือพระสารีบุตร และองค์ที่เป็นหัวหน้าก็คือ พระองค์เอง

เราจะเห็นว่า ผลแห่งความเป็นคนทุศีลนั้น ไม่ใช่ว่าเพียงต้องไปเสวยผลกรรมในภพชาติหน้าเท่านั้น แม้แต่ในภพชาติปัจจุบันก็ยังพอมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่เสมอ ผู้มีศีลเท่านั้น จึงคู่ควรกับสมบัติอันเป็นทิพย์ทั้งหลาย และสมบัติอันเลิศในเมืองมนุษย์ ยิ่งกว่านี้ แม้แต่อริยสมบัติ คือการบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็เหมาะสมสำหรับผู้มีศีลอันงาม ขอให้พวกเราหมั่นชำระศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ อีกทั้งชำระกาย วาจา ใจให้ผ่องใสด้วยการประพฤติธรรม หมั่นเจริญสมาธิภาวนากันทุกๆ คน

* มก. เล่ม ๕๘ หน้า ๕๕๕

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16501
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *