กัณฐกวิมาน (กัณฐกะเทพบุตรอดีตม้ากัณฐกะพาเจ้าชายสิทธัตถะไปตลอดราตรี จะได้แสวงหาโมกขธรรม)

กัณฐกวิมาน (กัณฐกะเทพบุตรอดีตม้ากัณฐกะพาเจ้าชายสิทธัตถะไปตลอดราตรี จะได้แสวงหาโมกขธรรม)

การไปสู่อายตนนิพพาน จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญมหาศาล รักในการสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ และคิดเสมอว่า จะใช้วันเวลาทุกอนุวินาที ให้มีคุณค่าสูงสุด เพราะรู้ว่าเวลาในชีวิตมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งหนทางในสังสารวัฏเต็มไปด้วยเพลิงกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงจำเป็นที่จะต้องมีบุญเพื่อขจัดกิเลสและเป็นเสบียงติดตัวไปในการเดินทางสู่จุดหมาย ดังนั้น นักสร้างบารมีที่ดี ต้องรู้จักเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปลี่ยนจากบาปมาเป็นบุญ และเพิ่มพูนความบริสุทธิ์ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จะบริสุทธิ์ได้ต้องหยุดนิ่งไปในกลางพระรัตนตรัย ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อทำได้เช่นนี้ ชีวิตย่อมจะมีความสุข แม้อยู่ในท่ามกลางปัญหาก็จะมีปัญญาที่ทำให้พ้นทุกข์เหมือนจุดเย็นในเตาหลอม มีชีวิตที่สงบเย็นเป็นสุขอยู่ตลอดเวลา

มีธรรมภาษิตที่พระโมคคัลลานะกล่าวไว้ใน กัณฐกวิมาน ว่า

“พระจันทร์มีรอยรูปกระต่ายในเดือนเพ็ญ ถูกหมู่ดาวแวดล้อม เป็นอธิบดีของหมู่ดาวทั้งหลาย ย่อมโคจรไปในอากาศ ฉันใด ทิพยวิมานนี้ก็ฉันนั้น ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยรัศมีในเทพบุรี เหมือนดวงอาทิตย์กำลังอุทัย ดูก่อนเทพบุตร ท่านเป็นผู้มีรัศมีมาก รุ่งโรจน์ยิ่งด้วยวรรณะ อยู่ในวิมานอันประเสริฐนั้น ดุจดวงอาทิตย์กำลังอุทัย นี้เป็นผลแห่งทาน หรือศีล หรืออัญชลีกรรมของท่าน ท่านถูกอาตมาถามแล้ว โปรดบอกข้อนั้นแก่อาตมาเถิด”

ผู้ที่มีสิทธิ์ได้ไปบังเกิดในสวรรค์นอกจากจะเป็นมนุษย์แล้ว ยังมีหมู่สัตว์ในภพภูมิอื่นอีกนับจำนวนไม่น้อย ที่กำลังบุญมากพอ หรือมีจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง ไม่ถูกความโลภ ความโกรธ ความหลงเข้าครอบงำ ก็สามารถที่จะไปบังเกิดเป็นเทวดา และเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์เช่นกัน

หลวงพ่อมีเรื่องกัณฐกวิมาน เป็นวิมานทองของอดีตพญาม้าสินธพอาชาไนย ซึ่งเป็นม้าสหชาติคู่พระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่นำพระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์หรือออกบวชมาเล่าให้พวกเราได้ศึกษากัน ทิพยวิมานหลังนี้มีความสวยงามและสว่างไสวมากเป็นพิเศษ

* เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบรรพชานั้น พระองค์ทรงม้ากัณฐกะ เสด็จไปในยามราตรี ครั้นถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา พระองค์ทรงเปลื้องเครื่องประดับภูษาอาภรณ์ทุกอย่าง มอบคืนให้ฉันนะอำมาตย์ เพื่อนำกลับไปพระราชวัง จากนั้นพระองค์ก็ทรงอธิษฐานจิตเป็นนักบวช แล้วทรงให้นายฉันนะอำมาตย์กับพญาอัศวราชกลับไปกรุงกบิลพัสดุ์ตามเดิม พญาม้ากัณฐกะมีความอาลัยในเจ้านายของตนมาก จึงก้มหน้าซบพระบาทด้วยความรัก แล้วยืนนิ่งเล็งแลดูพระองค์ทรงดำเนินไปจนสุดสายตา ครั้นทรงดำเนินไปลับคลองแห่งจักษุ หัวใจของพญากัณฐกอัศวราชก็แตกสลายทันที ในที่นั้นเอง

ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระมหาบุรุษ ผู้มุ่งที่จะทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป และหวังจะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์ เมื่อละโลกแล้ว พญาม้าได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสุดโสภา มีนามว่า กัณฐกเทพบุตร ได้ทิพยวิมานที่เป็นทองสุกปลั่งสว่างไสวประหนึ่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ไม่น้อยหน้าเทพตนใด ในวิมานของท่าน มีสวน มีสระโบกขรณี มีเทพอัปสรห้อมล้อมอยู่มากมาย

วันหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายได้จาริกไปในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อสนทนากับเหล่าเทพบุตรเทพธิดา ได้ไปพบวิมานของกัณฐกะเทพบุตร ซึ่งขณะนั้น เป็นช่วงที่กัณฐกะเทพบุตรลงจากเวชยันตปราสาทของท้าวสักกะจอมเทพ และกำลังขึ้นยานทิพย์เพื่อกลับสู่วิมาน เมื่อกัณฐกะเทพบุตรเห็นพระเถระก็มีจิตคารวะ ได้ลงจากทิพยยานเข้าไปหาพระเถรเจ้า และน้อมกายถวายนมัสการด้วยความนอบน้อม

พระเถระได้ไต่ถามด้วยถ้อยคำชื่นชมว่า “พระจันทร์เป็นใหญ่กว่าดาวนักขัตฤกษ์ งามเด่นในคืนวันเพ็ญ แวดล้อมไปด้วยหมู่ดาราฉันใด ทิพยยานนี้รุ่งเรืองไปด้วยรัศมีเป็นทิพย์ ดุจรัศมีแห่งพระจันทร์อันขึ้นมาเหนืออากาศฉันนั้น อีกทั้งปราสาททองของท่านประดับไปด้วยยอดงดงาม สระโบกขรณีมีนํ้าใสสะอาด น่ารื่นรมย์ มีท่าสวยงามดาษดื่นด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมชาตินานาพันธุ์ ครั้นมีลมพัดมาก็ยังละอองเกสรที่หอมกรุ่นให้ฟุ้งขจรไปในทิศน้อยทิศใหญ่

รุกขชาติที่เกิดใกล้วิมานของท่าน มีดอกเบ่งบานงดงาม ทรงผลวิเศษห้อยย้อย นางอัปสรประดับไปด้วยอาภรณ์รัตนชาติหลากหลาย เสียงกลองกังสดาลพิณพาทย์อันเป็นทิพย์ ยังใจของท่านให้ยินดี ดุจตัวท่านเป็นท้าวโกสีย์ผู้มีฤทธิ์ ท่านได้วิมานทองซึ่งรุ่งเรืองด้วยสมบัติและรัศมีที่สว่างไสวดุจดวงอาทิตย์อุทัยนี้ ด้วยผลทานหรือด้วยผลแห่งการรักษาศีล หรือด้วยผลแห่งอัญชลีกรรมสำรวมจิต ขอท่านจงบอกแก่อาตมา ในกาลบัดนี้ด้วยเถิด”

กัณฐกเทพบุตร ได้ประคองอัญชลีตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ชาติก่อนข้าพเจ้าเป็นม้าชื่อว่ากัณฐกะ เป็นสหชาติกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดวันเดียวกัน เมื่อครั้งพระองค์จะออกผนวชเพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณ ในเวลาเที่ยงคืน พระองค์มาลูบหลังข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม ประกอบด้วยเมตตาจิต ทรงถึงพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะและอนุพยัญชนะ แล้วพระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ดูก่อนพญากัณฐกอัศวราช ท่านจงพาเราไปให้ตลอดราตรีในวันนี้ เพื่อที่เราจะได้แสวงหาโมกขธรรม ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐ หากเราได้ตรัสรู้พระโพธิญาณแล้ว จักยังสัตว์โลกให้ข้ามพ้นจากห้วงภัยอันลึกใหญ่แห่งวัฏสงสาร

ข้าพเจ้าได้ฟังมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระมหาบุรุษแล้ว บังเกิดความปีติเลื่อมใส เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นนั่งเหนือหลังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็วิ่งไปด้วยความเร็วนำเสด็จออกจากพระนครทันที แม้ประตูเมืองที่สูงตระหง่าน ก็ไม่สามารถขวางกั้นพละกำลังของข้าพเจ้าที่จะกระโดดก้าวข้ามไปได้ เมื่อถึงชายแดน พระองค์ได้รับสั่งให้ข้าพเจ้ากับฉันนะอำมาตย์กลับพระนคร แล้วเสด็จไปไม่เหลียวหลัง ข้าพเจ้าจึงวิ่งเข้าไปซบที่พระบาทของพระมหาบุรุษ ด้วยใจภักดีแล้วร้องไห้ และได้ยืนเล็งแลดูพระองค์ซึ่งทรงดำเนินหายไป เมื่อพระมหาบุรุษละสายตาไปแล้ว หัวใจข้าพเจ้าก็แตกสลายถึงแก่ชีวิตทันที แล้วได้มาบังเกิดในวิมานทองนี้ด้วยอานุภาพแห่งศรัทธาในพระมหาบุรุษ มีใจปีติระลึกว่า พระมหาบุรุษจะได้ตรัสรู้พระโพธิญาณรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงสาร ด้วยความปีติปลาบปลื้มอันยิ่งใหญ่นั้น จึงได้เสวยทิพยสมบัติดังท้าวโกสีย์ผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์”

พระเถระได้ฟังถ้อยคำของกัณฐกะเทพบุตรแล้ว ก็อนุโมทนาชื่นชมในความเป็นผู้มีโชคที่ได้รับใช้พระมหาบุรุษ จากนั้นพระเถระได้ลากลับลงมายังโลกมนุษย์ คืนนั้นเอง กัณฐกะเทพบุตรผู้มีจิตคารวะในพระพุทธเจ้า ก็อันตรธานจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาในยามเที่ยงคืน ด้วยรัศมีที่เปล่งสว่างไสวและได้ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาด้วยความนอบน้อม ท่านได้ชำระธรรมจักษุให้บริสุทธิ์ ชำระสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสที่มีอยู่ให้บริสุทธิ์ ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

เราจะเห็นว่า การไปสู่สุคติโลกสวรรค์นั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์ แม้เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็ไปได้ และวิธีการที่จะให้ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาในสุคติโลกสวรรค์ มีอยู่หลายวิธีการด้วยกัน บางท่านได้สวรรค์สมบัติเพราะให้ทาน บางท่านรักษาศีลให้บริสุทธิ์ หรือบางท่านเพียงทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ก็สามารถที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ได้เช่นกัน ดังนั้นใจใสหรือใจหมองก่อนตาย จึงเป็นเครื่องตัดสินว่าจะไปสู่สุคติหรือทุคติภูมินั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเราทุกคนตั้งใจที่จะให้ได้ไปบังเกิดในสุคติสวรรค์แล้ว ก็ขออย่าได้ประมาทเพลิดเพลินในโลกใบนี้ ซึ่งไม่ใช่สถานที่เสวยบุญ แต่เป็นสถานที่มีไว้สำหรับสร้างบารมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเข้าใจกันเช่นนี้แล้ว ให้สร้างบุญบารมีกันให้เต็มที่ วิมานของเราในสุคติโลกสวรรค์จะได้สว่างไสวเพื่อรอคอยเรา และหมั่นเจริญสมาธิภาวนา ทำใจให้ใสอยู่เสมอ ฝึกหยุดฝึกนิ่งกันไป จนกว่าจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยที่ใสสว่างภายในกลางกายกันทุกคน

* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๖๐๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16166
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *