เส้นทางสู่สันติ (อสทิสกุมารผู้มีความเป็นเลิศการยิงธนู สละเบญจกามคุณ มุ่งสู่ความสงบของใจ)

เส้นทางสู่สันติ (อสทิสกุมารผู้มีความเป็นเลิศการยิงธนู สละเบญจกามคุณ มุ่งสู่ความสงบของใจ)

การเจริญสมาธิภาวนาเป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นทางลัดของการสร้างบารมี เพื่อมุ่งตรงสู่ที่สุดแห่งธรรม ทุกครั้งที่เราได้นั่งหลับตาทำสมาธิภาวนา นำใจกลับมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ธาตุ ธรรม เห็น จำ คิด รู้ ในตัวเราจะถูกกลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เป็นทางมาแห่งความรู้และความสุข ซึ่งความสุขที่เกิดจากใจหยุดนิ่งนี้ เป็นสิ่งที่มวลมนุษยชาติต่างปรารถนา เพราะเป็นสุขที่เสรี กว้างขวางไร้ขอบเขต ไม่มีใครมาพรากเอาจากเราไปได้ และยังเป็นทางแห่งความรู้ที่จะขจัดกิเลสอาสวะชำระมลทินของใจ เป็นเหตุให้ได้อภิญญา สมบูรณ์ทั้งวิชชาและจรณะอีกด้วย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อัจเจนติสูตร ความว่า

“อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย
วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ
เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน
โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข

กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป บุคคลเล็งเห็นภัยในมรณะนี้ พึงมุ่งต่อสันติ ละโลกามิสเสีย”

วันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำเอาความชรามาสู่ตัวเรา ความตายก็รุกคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ ชีวิตมนุษย์มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ไม่ช้าต้องเสื่อมสลายไป สิ่งต่างๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นบุตร ธิดา ทรัพย์สินเงินทอง ญาติพี่น้อง ไม่อาจติดตามตัวเราไปปรโลกได้ มีแต่บุญกุศลที่สั่งสมไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นดั่งเงาติดตามตัวเราไป นักปราชญ์ในกาลก่อน ท่านจะสอนว่า ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ เหลือไว้แต่ต้นทุนบุญกุศล ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน ร่างของตนเขาก็เอาไปเผาไฟ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นอีกว่า การจะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้น ต้องละคลายจากโลกามิส ซึ่งเป็นเหยื่อล่อของพญามาร ที่ทำให้หลงเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏอันหาเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดไม่ได้ เบญจกามคุณทั้งห้านี่แหละคือเหยื่อล่อที่ทำให้ติดข้องอยู่ในภพทั้งสาม เหมือนปลาติดเบ็ดของนายพราน จะหลุดพ้นจากวังวนของชาติชรามรณะนี้ได้ ต้องมุ่งสู่สันติคือการฝึกฝนใจให้สงบหยุดนิ่งเพียงวิธีเดียวเท่านั้น

ดังเช่นพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ท่านมีสติปัญญามองเห็นเหยื่อล่อคือเบญจกามคุณ ว่าเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องทำลายล้างกัน ครอบครัวแตกแยก แม้ญาติพี่น้องก็กล้าที่จะประทุษร้ายต่อกันได้ เพื่อนยังทำลายเพื่อน เพราะมุ่งหวังเพียงให้ได้กามคุณทั้งหลายมาครอบครอง ท่านจึงสละสิ่งเหล่านั้น มุ่งสู่ความสงบของใจ ด้วยการออกบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง

* ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี เมื่อประสูติแล้วมีพระนามว่า อสทิสราชกุมาร ต่อมาพระมารดาได้ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สองชื่อว่า พรหมทัตกุมาร เมื่อเจริญวัย อสทิสราชกุมารเสด็จไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา พระองค์เป็นผู้มีความสามารถในการยิงธนู ไม่มีใครเสมอเหมือนหรือยิงได้แม่นยำเท่าพระองค์ คือสามารถยิงหนังกระบือหนาถึง ๑๐๐ แผ่น หรือแผ่นไม้กระดานหนา ๑๐๐ นิ้วให้ทะลุได้เป็นต้น เมื่อพระองค์ศึกษาศิลปวิทยาจบแล้ว ก็อำลาอาจารย์กลับพระราชวัง

ครั้นพระราชาใกล้สวรรคต จึงแต่งตั้งอสทิสราชกุมารให้ครองราชย์แทน ส่วนพรหมทัตกุมารให้ดำรงตำแหน่งอุปราช เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว พระโพธิสัตว์ประกาศกับเหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า พระองค์ไม่ประสงค์ครองราชสมบัติ ทรงปรารถนาความสันโดษ จึงอภิเษกพระอนุชาให้ครองราชสมบัติแทน ส่วนพระองค์ดำรงตนอยู่ในธรรม ทรงใช้ชีวิตอย่างสมถะตลอดมา ทางด้านปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตเป็นคนชอบพูดจาส่อเสียด วันหนึ่งปุโรหิตคิดขึ้นว่า เสือ ๒ ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แม้อสทิสราชกุมารไม่ได้เป็นพระราชา แต่ก็ดำรงตนเหมือนพระราชา พระราชา ๒ องค์ไม่ควรจะอยู่ร่วมกัน จึงพูดยุยงส่อเสียดว่า อสทิสราชกุมารกำลังเตรียมวางแผนแย่งราชบัลลังก์

พรหมทัตราชาทรงหูเบา จึงรับสั่งให้ทหารจับพระเจ้าพี่ทันที อสทิสกุมารไม่ต้องการให้เลือดนองแผ่นดิน จึงข่มความโกรธไว้ เพราะรู้ว่า ลาภ ยศ และโมหะแท้ๆ ทำให้พี่น้องต้องเข่นฆ่ากันเอง พระองค์จึงรีบหลบหนีไปแว่นแคว้นอื่น ทรงปลอมเป็นชาวบ้านธรรมดา สมัครเป็นนักยิงธนูในพระราชวัง พระเจ้าสามันตราช ทรงเห็นบุคลิกลักษณะท่าทางของพระกุมารก็เกิดความรัก จึงรับไว้เป็นทหารคนสนิทของพระองค์

พวกนักยิงธนูรุ่นเก่าเห็นอสทิสกุมารได้สิทธิพิเศษมากกว่า ก็เกิดความอิจฉา วันหนึ่ง ขณะเสด็จไปพระราชอุทยาน พระราชาทอดพระเนตรเห็นมะม่วงพวงหนึ่งบนยอดไม้ ทรงดำริว่า ไม่มีใครขึ้นไปเอามะม่วงนี้ได้ จึงรับสั่งให้นายขมังธนูยิงมะม่วงให้ตกลงมา พวกนายขมังธนูกราบทูลว่า “ขอเดชะข้อนี้ไม่เป็นการยากสำหรับพวกข้าพระองค์เลย แต่นายขมังธนูที่มาใหม่ได้ค่าจ้างมากกว่าพวกข้าพระองค์ ขอได้ทรงโปรดให้เขายิงเถิดพระเจ้าข้า” พระราชาจึงรับสั่งให้อสทิสกุมารเข้าเฝ้า และให้ยิงมะม่วงมาถวายพระองค์

พระกุมารเห็นเป็นโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตน จึงทรงนุ่งผ้าแดง ถือเมณฑกมหาธนู และโก่งสายสีแก้วประพาฬ ขณะจะยิง ได้กราบทูลพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์ประสงค์จะให้มะม่วงพวงนี้ตกลงมาด้วยลูกศรตอนขึ้นหรือลูกศรตอนลง พระเจ้าข้า” พระราชารับสั่งว่า “พ่อคุณเอ๋ย เราเคยเห็นแต่คนยิงลูกศรขึ้นไป แต่ยังไม่เคยเห็นการยิงลูกศรลงมา ฉะนั้น เจ้าจงยิงให้ตกด้วยลูกศรตอนลงก็แล้วกัน” พระกุมารกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช ลูกศรนี้จักขึ้นไปไกลจนถึงพิภพท้าวจาตุมหาราช แล้วจักลงมาเอง ลูกศรนี้เมื่อปล่อยออกไป จะไม่ส่ายไปส่ายมา แต่จะแหวกขึ้นไประหว่างกลางขั้วพวงมะม่วง แล้วจะย้อนกลับมาทางเดิมตัดขั้วพวงมะม่วงให้หล่นลงมา ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า” จากนั้นทรงแผลงศรออกไป ลูกศรทะลุผ่านกลางพวงมะม่วงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

พระกุมารรู้ว่า บัดนี้ลูกศรเห็นทีจะถึงพิภพชั้นจาตุมหาราชแล้ว จึงทรงยิงไปอีกดอกหนึ่ง ด้วยกำลังที่มากกว่าลูกศรที่ยิงไปครั้งแรก ลูกศรขึ้นไปกระทบท้ายลูกศรดอกแรกปัดให้กลับลงมา ส่วนศรลูกที่สองขึ้นไปถึงภพดาวดึงส์ เสียงแหวกอากาศของลูกศรที่กลับลงมาคล้ายเสียงสายฟ้า ขณะลงมาก็มาทางเดิมแล้วตัดขั้วพวงมะม่วงได้พอดี พระกุมารใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งรับพวงมะม่วงไว้ อีกข้างหนึ่งรับลูกศร มหาชนเห็นความอัศจรรย์นั้น พากันส่งเสียงชื่นชมยกย่องว่า ท่านเป็นเลิศกว่านักแม่นธนูทั้งหลาย แม้แต่พระราชาก็ทรงเลื่อมใสและพระราชทานรางวัลให้มากมาย

เมื่อพระราชา ๗ เมืองรู้ว่า บัดนี้อสทิสราชกุมารมิได้อยู่ในกรุงพาราณสี จึงพากันยกพลมาเพื่อยึดกรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตทรงกลัวมรณภัย จึงรีบส่งทูตไปรับพระเจ้าพี่เสด็จกลับเมือง ทั้งกำชับให้นำเสด็จกลับมาให้ได้และฝากพระดำรัสไปถึงอสทิสราชกุมารว่า “หากพระเจ้าพี่ไม่เสด็จกลับมา น้องคงไม่มีชีวิตรอด”

ด้วยความรักพระอนุชา พระโพธิสัตว์ รีบเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงปลอบพระอนุชาให้เบาใจแล้วจารึกอักขระลงที่ลูกศรมีใจความว่า“เราชื่อ อสทิสราชกุมาร บัดนี้ กลับมาแล้ว ขอให้พวกท่านรีบยกทัพกลับไป มิเช่นนั้นเราจะยิงศรไปล้างชีวิตของพวกท่านทั้งหมด แต่เราจะไม่ทำร้ายผู้เชื่อฟังเรา แม้เลือดเพียงแมลงวันกินพออิ่ม เราก็จะไม่ให้ไหลออก ขอให้พวกท่านรีบยกทัพกลับไปเสีย”

จากนั้นพระองค์เสด็จประทับที่ป้อมปราการ แผลงศรดอกนั้นให้ตกลงบนภาชนะทองที่พระราชา ๗ พระนครกำลังเสวยอยู่ พระราชาทั้งเจ็ดทอดพระเนตรเห็นอักขระที่ลูกศรแล้ว พากันตกพระทัยกลัวต่อมรณภัย ต่างเสด็จหนีกลับหมด ต่อมาพระโพธิ์สัตว์ทรงเบื่อหน่ายในลาภยศสรรเสริญ จึงออกผนวชเป็นฤๅษี ทรงยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ครั้นสิ้นพระชนม์ก็ได้เข้าถึงสุคติภูมิ

เราทั้งหลายผู้เกิดมาเพื่อสร้างบารมี มีเลือดเนื้อของนักสร้างบารมี ต้องตระหนักในการทำหน้าที่และแสวงหาพระรัตนตรัยเป็นหลักยึดของชีวิตไว้ ด้วยการสั่งสมบุญบารมี ทำใจหยุดใจนิ่งให้เต็มที่ การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา รู้จักหนทางแห่งความหลุดพ้น ถือว่าได้โอกาสอันประเสริฐยิ่งกว่าการได้แก้วแหวนเงินทองและของมีค่าใดๆ ในโลกนี้ เพราะโอกาสดีๆ เช่นนี้ ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะได้พบเจอ พวกเราเป็นเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์จากมนุษยชาติหกพันกว่าล้านคนที่ได้มารู้จักเส้นทางสายนี้ ดังนั้น อย่าได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งที่ไร้สาระ ให้สร้างบารมีสั่งสมบุญกันอย่างเต็มที่ และให้หมั่นนั่งธรรมะทุกวัน เพื่อเพิ่มเติมความบริสุทธิ์กายวาจาใจให้กับตนเองตลอดเวลา เพราะการทำเช่นนี้เป็นทางลัดที่สุดในการที่จะนำพาเราไปสู่ที่สุดแห่งธรรมนั่นเอง

* มก. เล่ม ๕๗ หน้า ๑๗๑

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15853
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *