มหารถเทพบุตร (เทพบุตรท่านหนึ่งที่ทำให้พระทัยของท้าวสักกะต้องหวั่นไหว)

มหารถเทพบุตร (เทพบุตรท่านหนึ่งที่ทำให้พระทัยของท้าวสักกะต้องหวั่นไหว)

เรามีเวลาสร้างบารมีอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด จึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต บัณฑิตทั้งหลายจะรีบขวนขวายสั่งสมบุญ เพื่อเป็นเหตุให้เข้าถึงความสุขภายในที่แท้จริง ความสุขจากใจหยุดนิ่งนี้ ไม่อาจแลกได้ด้วยสมบัติใดๆ หากต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง เพราะผู้ใดทำใจหยุดนิ่งได้ ผู้นั้นจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง เป็นสุขที่ตรงกันข้ามกับสุขที่เกิดจากเบญจกามคุณทั้งหลายในโลกนี้ เป็นสุขที่เที่ยงแท้ เป็นอมตะ ดังนั้นหากเราตั้งใจลงมือทำในวันนี้ ก็จะได้วันนี้ หรือแม้วันนี้ยังไม่ได้ผล ย่อมเป็นอุปนิสัยติดตัวไปให้ได้เข้าถึงธรรมในวันข้างหน้า

มีธรรมภาษิตที่กล่าวไว้ใน มหารถวิมาน ว่า

“ข้าแต่ท่านผู้เป็นมุนี เมื่อใครๆ หวังอยากเป็นผู้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และรูปอันประณีต อย่าพึงมีใจข้องอยู่ในสิ่งอื่น พึงยังข้าวและน้ำอันตนตบแต่งดีแล้วเป็นอันมาก ให้ตั้งไว้ในพระพุทธเจ้า เพราะใครๆ ในโลกนี้หรือโลกอื่น จะเป็นผู้ประเสริฐกว่า หรือเสมอด้วยพระพุทธเจ้า มิได้มี พระตถาคตเจ้านั้น ถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ควรบูชาอย่างยิ่งกว่าบุคคลผู้ควรบูชาทั้งหลาย ของชนผู้มีความต้องการบุญ แสวงหาผลอันไพบูลย์”

นี่คือถ้อยคำของเทพบุตรองค์หนึ่ง ที่สามารถทำให้จิตใจของท้าวสักกะจอมเทพหวั่นไหวได้ ในยุคเริ่มต้นของการประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ตอนนั้นพระอินทร์ยังประมาทในการเสวยทิพยสมบัติอยู่ ยังไม่ได้โอกาสบำเพ็ญบุญกับพระอริยเจ้า ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลอันเลิศ บุญกุศลที่เคยทำเอาไว้ในอดีต ซึ่งส่งผลให้ได้มาเป็นท้าวสักกะจอมเทพนั้น ก็ไม่ได้ทำถูกเนื้อนาบุญ แม้จะได้รับการยอมรับให้เป็นจอมเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่เมื่อเทียบรัศมีกาย อายุขัย เทพบริวาร หรือทิพยปราสาทกับเทพบุตรผู้มีบุญอื่นๆ แล้ว เทียบกันไม่ได้เลย

โดยเฉพาะในยุคแรกๆ รัศมีกายของพระอินทร์จะด้อยกว่าทวยเทพที่ขึ้นไปใหม่ เพราะเทพเหล่านั้นได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ คือ ได้ทำบุญกับทักขิไณยบุคคล มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น จึงทำให้ได้ทิพยวิมานที่ใหญ่โตโอฬาร อายุขัยยืนยาวกว่า คือ เมื่อหมดอายุขัยจากสวรรค์ชั้นนี้ ก็จะจุติไปอุบัติในชั้นสูงๆ ขึ้นไป เวียนวนอยู่ในชั้นกามาวจรภูมิจนกว่าจะหมดบุญ บางท่านไม่ยอมกลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ท่านได้ประพฤติธรรมต่อในสวรรค์แล้วจึงไปอุบัติในพรหมโลก บางท่านเจริญสมาธิภาวนาจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในพรหมโลกก็มี

หากจะเปรียบแล้ว ก็เหมือนชีวิตของมนุษย์ในโลกของเรา แม้บางท่านไม่ได้ร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐี แต่ก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต มีคุณธรรมสูงส่งพอที่จะได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำ เช่นเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี สำหรับบางคนไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งทางโลก แต่มีสมบัติมากมาย มีบ้านเรือนคฤหาสน์ใหญ่โตประหนึ่งจำลองสวรรค์ลงมา และยังรวยที่สุดในโลก เป็นต้น ชาวสวรรค์เขาก็มีความเป็นอยู่คล้ายๆ กับชาวโลก จะกล่าวถึงเทพบุตรองค์หนึ่ง ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นจอมเทพของชาวสวรรค์ แต่ก็มีรัศมี มีอานุภาพยิ่งกว่าจอมเทพในสวรรค์ เรื่องมีอยู่ว่า

* ในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะได้เที่ยวจาริกไปในเทวโลกตามปกติ ดังที่เคยปฏิบัติมา วันหนึ่งท่านได้ไปพบกับโคปาลเทพบุตร ซึ่งออกจากวิมาน กำลังขึ้นรถทิพย์คันใหญ่เทียมม้า ๑,๐๐๐ ตัว เพื่อไปเที่ยวเล่นในอุทยานสวรรค์ พร้อมด้วยบริวารอีกมากมาย เนื่องจากเป็นขบวนราชรถที่ใหญ่โตมาก ไม่มีเทพองค์ไหนที่จะยิ่งกว่าหรือแม้เสมอเหมือน เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับฉายาว่า มหารถเทพบุตร

พระเถระได้สังเกตดูลักษณะของม้าทิพย์ ที่กำลังนำเทพบุตรผู้เป็นเจ้านายไปสู่อุทยาน เห็นว่ามีลักษณะพิเศษ คือ มีม้าถึงพันตัว รุ่งเรืองดังท้าววาสวะผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ทูบรถทั้งสองก็ล้วนสำเร็จด้วยทอง มีลูกกรงเป็นระเบียบเรียบร้อย โชติช่วงเหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ รถคันนี้คลุมด้วยข่ายทอง วิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ มีรัศมีสีรุ้ง โชติช่วงด้วยหมู่เทพผู้ถือพัดจามร ดุมรถประดับตรงกลาง ระหว่างล้อรถวิจิตรไปด้วยลายร้อยลาย พร่างพรายดังสายฟ้าแลบ ดารดาษด้วยลวดลายวิจิตรพิสดารยิ่งนัก

กงใหญ่ของรถมีรัศมีตั้งพัน เสียงของกงล้อฟังไพเราะ ที่งอนรถก็งดงามตบแต่งด้วยเพชรพราวแสงเหมือนดวงจันทร์ ม้าเหล่านี้ผูกสอดด้วยสายแก้วมณี สูงใหญ่ว่องไว มีกำลังเร็วมาก รู้ใจของเจ้านาย วิ่งไปได้รวดเร็วดังใจนึก ม้าทั้งหมดนี้สามารถวิ่งไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ยัง ใจผู้ขับยวดยานให้เบิกบาน เป็นยอดของม้าทั้งหลายที่ผูกสอดเครื่องประดับอันงดงาม เสียงรถ เสียงเครื่องประดับ เสียงกีบม้า เสียงร้องคำรนของม้า และเสียงเทพผู้บรรเลง ไพเราะเหมือนดนตรีของคนธรรพ์ในสวนจิตรลดา

ส่วนเหล่าอัปสรเทพนารีที่ยืนประนมมืออยู่บนรถ มีดวงตาอ่อนโยนเหมือนตาลูกเนื้อทราย มีขนตาดก มีรอยยิ้มจากดวงหน้า พูดจาไพเราะน่ารัก คลุมด้วยข่ายแก้วไพฑูรย์ มีผิวละเอียด และส่องแสงสว่างไปทั่วสิบทิศ โดยอาศัยเครื่องประดับที่คอ ที่มือ ที่เท้าและศีรษะ เหมือนดวงอาทิตย์กำลังอุทัย ดอกไม้และเครื่องประดับที่แขนทั้งสองไหวพริ้วเพราะแรงลม เปล่งเสียงกังวานไพเราะจับใจ

เมื่อเห็นดังนั้นพระเถระได้ถามว่า “ดูก่อนท่านเทพบุตร ท่านมีเทพกัญญาส่องรัศมีอยู่สองข้างในรถของท่าน ดุจท้าวสักกะผู้ทรงวชิราวุธ เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้ หรือว่า ได้ชอบใจการประพฤติธรรมและการสมาทานวัตรอะไร ผลนี้คงมิใช่ผลของกรรมเล็กน้อยที่ท่านทำไว้ ท่านรุ่งโรจน์ข่มหมู่เทพเป็นนักหนา ช่วยเล่าบุพกรรมให้อาตมาฟังหน่อยเถิด”

มหารถเทพบุตรได้เล่าบุพกรรมของตัวเองให้พระเถระฟังว่า “ข้าพเจ้าโชคดี ที่ได้เกิดในยุคสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ถวายมหาทานกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ได้มีโอกาสถวายทานที่เป็นดุจดังอสทิสทาน และตั้งใจฟังธรรมอยู่เป็นประจำ ได้รักษาศีล ๕ ไม่เคยด่างพร้อย และได้เจริญภาวนาตามสมควร เมื่อละจากโลกนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปบังเกิดในวิมานทองร้อยโยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอัปสรหลายโกฏิเป็นบริวาร ด้วยอานุภาพแห่งบุญตามที่สั่งสมไว้ รถเทียมม้าอาชาไนยพันตัวซึ่งเป็นทิพย์ และสำเร็จด้วยรัตนะเจ็ดก็บังเกิดขึ้น”

เทพบุตรท่านนี้ได้เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงส์จนสิ้นอายุขัย จากนั้นได้ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น ยังไม่ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย ครั้นมาในยุคพุทธกาลนี้ ท่านได้ย้อนกลับมาบังเกิดเป็นเทพบุตรที่ดาวดึงส์อีกครั้ง และยังได้ชื่อเดิมว่า โคปาล เทพบุตรได้สรุปเรื่องราวให้พระเถระฟังว่า “สิ่งที่ได้มาทั้งหมดนี้เพราะทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชนทั้งหลาย ผู้เปิดประตูแห่งอมตนคร ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใสไม่คลอนแคลน ได้ทำบุญจนตลอดชีวิต เมื่อละจากอัตภาพนั้น จึงเป็นผู้เสมอกับพระอินทร์ รื่นรมย์อยู่ในเทวบุรี ข้าแต่ท่านพระมุนี บุคคลเมื่อหวังอายุ วรรณะ สุขะ พละ และรูปอันประณีต พึงถวายทานแด่พระพุทธเจ้า ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า ไม่มีผู้ประเสริฐสุดหรือเสมอด้วยพระพุทธเจ้าอีกแล้ว”

พระเถระรู้ว่า เทวบุตรกำลังมีจิตปราศจากนิวรณ์ และมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอยู่ก่อนแล้ว ท่านจึงแสดงอริยสัจสี่ให้ฟัง มหารถเทพบุตรได้น้อมจิตตามกระแสธรรม เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ผู้ไม่มีวันตกต่ำในสังสารวัฏอีกต่อไป

เราจะเห็นว่า การเทียบความสว่างของรัศมีกายก็ดี อายุ วรรณะ สุข พละ ยศหรือความเป็นอธิปไตยทั้งหลายก็ดี ต้องอาศัยบุญอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะเทียบกับเทพนิกายเหล่าอื่นได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ยินได้ฟังแล้ว ให้รักในการสั่งสมบุญกันอย่างเต็มที่ เมื่อพูดถึงเรื่องการทำบุญของพวกเราในยุคสมัยนี้ เรามีเนื้อนาบุญ คือ พระภิกษุสงฆ์และสามเณร ผู้เป็นอายุพระศาสนามากกว่า ๓ แสนรูป ไทยธรรมของพวกเราก็มีอยู่ เหลือแต่เพียงว่าเราจะให้โอกาสแก่ตัวเองในการที่จะสร้างมหาทานบารมีหรือไม่เท่านั้น เราต้องเพิ่มทั้งศรัทธาและกำลังใจในการสร้างความดี มุ่งมั่นว่า จะสั่งสมบุญทุกอนุวินาที อย่าให้โอกาสดีๆ ผ่านเลยไป ต้องเก็บเกี่ยวบุญทุกอย่าง ทั้งทาน ศีล ภาวนา แม้บุญเล็กบุญน้อยก็ไม่มองข้าม แล้วเราจะเป็นผู้มีบุญใหญ่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติกันทุกคน

* มก. เล่ม ๔ ๘ หน้า ๕ ๑๘

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15543
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *