ความสุขของพระโสดาบัน (เปรียบเทียบความทุกข์ที่เหลืออยู่ของพระโสดาบันและพระอริยสาวก)

ความสุขของพระโสดาบัน (เปรียบเทียบความทุกข์ที่เหลืออยู่ของพระโสดาบันและพระอริยสาวก)

มวลมนุษยชาติล้วนปรารถนาให้ตนเองมีความสุข แต่มีผู้คนจำนวนมากมาย กลับเป็นอยู่ด้วยความประมาท หลงไปก่อทุกข์ให้กับตัวเอง ความสุขที่ตนปรารถนา จึงเป็นเพียงแค่ความฝัน คล้ายกับพยับแดด สุดท้ายเมื่อผลแห่งความประมาทมาถึง ชีวิตของเขาเหล่านั้น ก็ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ไปได้ ความไม่ประมาทเป็นเสมือนเกราะคุ้มกันภัย ที่ยากจะหาเกราะใดๆ มาเทียบได้ ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อม มัวเพลิดเพลินใช้ชีวิตไปกับสิ่งไร้สาระ ย่อมจะหนีผลแห่งเหตุที่ตนทำไว้ไม่พ้น เพราะการประกอบเหตุในวันนี้ คือ ผลในวันหน้า เหตุดี ผลก็ย่อมดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลก็ย่อมไม่ดี การหมั่นฝึกฝนอบรมใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ คือ การประกอบเหตุดีเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลดีอันยิ่งใหญ่ต่อตัวเราไปทุกภพทุกทุกชาติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน นขสิขาสูตร ว่า

“ความทุกข์ที่หมดไปของอริยสาวกผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิ บรรลุอริยมรรคแล้ว มีปริมาณมาก ส่วนความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่ มีประมาณน้อย ความทุกข์ที่จะมีอีก ๗ อัตภาพเป็นอย่างยิ่งนั้น เมื่อเทียบกันเข้ากับกองทุกข์ที่หมดสิ้นไปอันมีอยู่ในครั้งก่อนแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ เลย ภิกษุทั้งหลาย การได้บรรลุอริยธรรม ย่อมให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้แล การได้ธรรมจักษุ ย่อมให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้ ”

มรรคาในสังสารวัฏของปุถุชน ที่ยังไม่ได้มีดวงตาเห็นธรรม เต็มไปด้วยความทุกข์และภยันตรายรอบด้าน แหล่งที่มาของอันตรายนั้น เกิดมาจากจิตใจที่ไม่ได้รับการฝึกหัดขัดเกลาให้สะอาด สว่าง สงบ เมื่อความคิด คำพูด และการกระทำไม่บริสุทธิ์ นั่นคือสัญลักษณ์แห่งความผิดพลาดกำลังจะบังเกิดขึ้น การดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้พลัดตกไปสู่อบายภูมิ คือ ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน เป็นเวลายาวนานมาก การมีชีวิตอยู่ในอบายภูมินั้น จะต้องทนทุกข์ทรมานไม่ว่างเว้นแม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์จะมีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเข็ญ กว่าจะมีโอกาสมาพบผู้รู้แจ้งเห็นจริงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นยากทีเดียว เพราะเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก และการที่จะได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม ได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรม และได้เข้าถึงธรรมเป็นพระอริยบุคคลก็เป็นการยาก แต่ความทุกข์ยากหรืออันตรายในสังสารวัฏของพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุธรรมกายโสดาบันเป็นต้นไปมีอยู่น้อย เพราะท่านสามารถยกใจขึ้นสู่กระแสพระนิพพานได้แล้ว สามารถย่นย่อการเวียนว่ายในสังสารวัฏให้เหลือน้อยลงมาได้ไม่เกิน ๗ ชาติเท่านั้น

ถึงแม้พระโสดาบันจะยังไม่ได้เสวยสุขล้วนๆ เพียงอย่างเดียว เเต่ในขณะที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏ ชีวิตของท่านปลอดภัย จากที่เคยมีทุกข์มากก็ทุกข์น้อย จากที่มีทุกข์น้อยก็ใกล้จะหมดทุกข์ ส่วนวิถีชีวิตของปุถุชนทั่วไปอย่างพวกเรานั้น ยังต้องประสบทุกข์อีกมากมายนัก เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท ดังเช่น

* ในสมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร พระองค์ทรงเอาปลายเล็บมือช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามพระภิกษุซึ่งกำลังเฝ้าแวดล้อมอยู่ในที่นั้นว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ระหว่างฝุ่นประมาณน้อยนี้ ที่เราเอาปลายเล็บช้อนขึ้น กับฝุ่นในปฐพีใหญ่นี้ อย่างไหนจะมากกว่ากัน” ภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฝุ่นในปฐพีใหญ่นี้แหละมากกว่าฝุ่นประมาณเล็กน้อย ฝุ่นที่พระพุทธองค์ทรงเอาปลายพระนขาช้อนขึ้นนี้ มีประมาณน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับฝุ่นในปฐพีใหญ่นี้ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิบายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างอุปมาที่เธอทั้งหลายได้กล่าวนี่แหละ คือ ความทุกข์ที่หมดสิ้นไปของบุคคลผู้เป็นพระอริยสาวก ซึ่งสมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิ บรรลุอริยธรรมแล้วนั้น มีมากกว่า ส่วนความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่ มีประมาณน้อย ความทุกข์ซึ่งจะมีอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่งนั้น ความทุกข์ที่จะต้องเกิดแก่พระโสดาบัน เมื่อเทียบกับกองทุกข์ที่หมดสิ้นไป ซึ่งมีในครั้งก่อนแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ เลย ภิกษุทั้งหลาย การได้บรรลุอริยธรรมให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่ การได้ธรรมจักษุบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้แหละ”

นอกจากนี้ในโบกขรณีสูตร พระพุทธองค์ได้อุปมาไว้อีกว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สระโบกขรณี ยาว ๕๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ ลึก ๕๐ โยชน์ มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบสระ ซึ่งนกกาสามารถจะดื่มกินได้ ชายคนหนึ่งใช้ปลายหญ้าคาจุ่มน้ำขึ้นจากสระโบกขรณีครั้งหนึ่งแล้วสลัดออก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ระหว่างน้ำที่ชายคนนั้นใช้ปลายหญ้าคาจุ่มลงไปเพียงครั้งเดียว เมื่อเทียบกับน้ำที่ยังมีอยู่ในสระโบกขรณี อันไหนจะมากกว่ากัน”

ภิกษุสงฆ์กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในสระโบกขรณีนั่นแหละมากกว่า น้ำที่ชายคนนั้นใช้ปลายหญ้าคาจุ่มลงไปครั้งเดียวมีประมาณน้อยเหลือเกิน น้ำที่ชายคนนั้นได้ เมื่อเทียบกับน้ำในสระโบกขรณี ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ เลย พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอุปมาที่เธอได้ฟังแล้ว คือ ความทุกข์ที่หมดไปของบุคคลผู้เป็นอริยสาวก ซึ่งสมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิ บรรลุอริยมรรคแล้วมีมากกว่า ส่วนความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่มีประมาณน้อย ความทุกข์ที่จะมีมาอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่งนั้น เมื่อเทียบกับกองทุกข์ที่หมดสิ้นไป ซึ่งมีอยู่ในครั้งก่อนแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ เลย ภิกษุทั้งหลาย การได้บรรลุอริยธรรมย่อมให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้แล”

เพียง ๒ พระสูตรที่ยกขึ้นมากล่าวไว้นี้ พวกเราทุกคนคงพอจะเห็นชัดแล้วว่า พระโสดาบันอริยบุคคล ท่านมีคุณวิเศษ สามารถตัดความทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้ โดยท่านจะมาอุบัติเกิดอีกเพียงไม่กี่ชาติเท่านั้น ในสมัยพุทธกาลผู้ที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันมีมากมาย อย่างเช่น มหาอุบาสิกาวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นประดุจหัวหน้ากองเสบียงฝ่ายหญิงและชายให้กับพระพุทธศาสนาในยุคสมัยนั้น ส่วนที่เป็นเทวดาโสดาบันก็มีมาก อย่างเช่น ท้าวสักกะจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชวนสภยักษ์ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นอดีตพระเจ้าพิมพิสารผู้ถวายเวฬุวันมหาวิหารแด่พระพุทธเจ้า และมีเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าทั้งพระโสดาบัน และพระสกิทาคามีอีกมากมายนับไม่ถ้วนในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น

ครั้นถึงคราว ท่านเหล่านั้นก็จะกลับมาเกิดในมนุษยโลก อย่างไรก็ตามทุกภพชาติที่ท่านจะไปเกิดนั้น จะไม่ไปบังเกิดในอบายภูมิอีกเด็ดขาด เพราะอริยมรรคอันเป็นโลกุตรธรรมที่ท่านได้บรรลุนี้ เป็นคุณวิเศษขั้นสูง สามารถที่จะปิดประตูอบายได้ตลอดไป ดังนั้น ภูมิที่ท่านจะไปเกิดจึงเป็นสุคติภูมิเพียงอย่างเดียว และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะสมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิ แม้บางท่านไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ดำรงชีวิตเหมือนชาวโลกทั่วไป แต่ในใจของท่านก็สว่างไสวด้วยกายธรรมพระโสดาบัน มีสุขอยู่ในธรรมกาย สุขอยู่ในโลกุตรฌานสมาบัติตลอดเวลา

เมื่อเราได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว ขอให้หมั่นฝึกหัดขัดเกลาตัวของเราเองให้ดี อย่าลืมว่า ขณะนี้ เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า โอกาสที่จะผิดทำพลาดแล้วพลัดตกไปในอบายภูมินั้นยังมีอยู่ ตราบใดที่เข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยจงอย่าประมาท ให้หมั่นชำระกาย วาจา ใจของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ เส้นทางการสร้างบารมีในสังสารวัฏนี้จะได้ปลอดภัย และมีชัยชนะไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมกันทุกคน

* มก. เล่ม ๒๖ หน้า ๓๙๓

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15262
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *