เส้นทางจอมปราชญ์ (๖) ปุจฉา-วิสัชนา พระพุทธเจ้า

เส้นทางจอมปราชญ์ (๖)

การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา บุคคลที่ควรบูชานั้นได้แก่บิดามารดา ครูบาอาจารย์เป็นต้น ท่านเหล่านั้นจัดเป็นปูชนียบุคคล จนกระทั่งถึงบุคคลผู้ควรบูชาอย่างสูงสุด ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวก ท่านเหล่านั้นเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก การที่เราบูชาท่านตั้งแต่บูชาด้วยอามิส จตุปัจจัยไทยธรรม และดอกไม้ธูปเทียน ของหอมต่างๆ ตลอดจนการบูชาด้วยการปฏิบัติ คือลงมือปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัด เป็นสุดยอดของการบูชาที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญ เพราะเป็นทางมาแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏใน วิมานวัตถุ ว่า

“ติฏฺฐนฺเต นิพฺพุเต วาปิ สเม จิตฺเต สมํ ผลํ
เจโตปณิธิเหตู หิ สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ
พหุนฺนํ วต อตฺถาย อุปฺปชฺชนฺติ ตถาคตา
ยตฺถ การํ กริตฺวาน สคฺคํ คจฺฉนฺติ ทายกา

เมื่อพระตถาคตจะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือเสด็จปรินิพพานไปแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบธรรม สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายได้กระทำสักการบูชาในพระตถาคตเหล่าใดไว้แล้วย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้นย่อมเสด็จอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ”

ผู้ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยจิตใจที่ผ่องใส มีศรัทธาที่เต็มเปี่ยม อานิสงส์ที่เกิดขึ้น ก็จะเกิดขึ้นมากมายเป็นอสงไขยอัปปมาณัง ไม่ว่าพระองค์จะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือว่าปรินิพพานไปแล้วก็ตาม ผลแห่งบุญก็ยังเกิดขึ้นเหมือนกัน ยิ่งถ้าเราหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรม ได้เข้าถึงพระธรรมกาย มีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกาย ความคลางแคลงสงสัยอันใดที่มีอยู่ ก็จะมลายหายสูญไป ความศรัทธาเลื่อมใสที่เคยมีในจิตใจจะเพิ่มพูนทับทวีมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากยังเข้าไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ก็ยังคลางแคลงสงสัย ในสมัยก่อน นักปราชญ์มีความรู้มากมาย เมื่อยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย ก็ยังไม่สามารถขจัดความสงสัยให้หมดสิ้นได้

* นักปราชญ์ท่านนี้ ก็คือพระยามิลินท์ ท่านเกิดความสงสัยในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงกับตั้งกระทู้ถามพระนาคเสนผู้เป็นขีณาสพว่า “ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระคุณเจ้าเคยเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่” พระนาคเสนถวายพระพรว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาเองก็เกิดไม่ทันเห็นองค์สมเด็จพระบรมครู” พระยามิลินท์เอ่ยถามต่อว่า “แล้วพระอาจารย์ของพระคุณเจ้าเล่า ทันเห็นพระบรมศาสดาหรือไม่” แม้แต่พระอาจารย์ของอาตมาเอง ก็ไม่ทันเห็นพระบรมศาสดาเหมือนกัน”

พระยามิลินท์จึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่มีนะซิ ถ้าพระองค์มีจริง พระคุณเจ้าจะต้องเห็น พระอาจารย์ของท่านคงจะเห็น เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่เห็นก็เป็นการกล่าวเลื่อนลอยหาหลักฐานไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่มีจริง” พอท่านได้ฟังพระยามิลินท์ตรัสอย่างนั้น ท่านก็นิ่งๆ แล้วเอ่ยถามพระยามิลินท์กลับไปว่า “มหาบพิตร เคยเห็นสะดือทะเลที่กลางทะเลบ้างหรือไม่” พระยามิลินท์จึงตอบว่า “โยมไม่เคยเห็นพระคุณเจ้า” พระนาคเสนซักต่อว่า “พระราชบิดาของพระองค์เคยเห็นหรือไม่” แม้เสด็จพ่อของโยมก็ยังไม่เคยเห็นพระคุณเจ้า” พระนาคเสนถามย้อนกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นสะดือทะเลก็ไม่มีใช่ไหม มหาบพิตร” พระยามิลินท์จึงตรัสตอบไปว่า “ถึงเสด็จพ่อของโยมไม่เห็น ตัวโยมเองไม่เคยเห็น แต่สะดือทะเลนี้ก็มีอยู่อย่างแน่นอน ขอพระคุณเจ้ารับรู้ไว้เถิด”

พอได้ฟังคำตอบอย่างนั้น พระนาคเสนจึงถวายพระพรสรุปว่า “ดูก่อนมหาบพิตร ความข้อนี้ท่านตรัสเป็นฉันใด องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ตัวอาตมาและพระอาจารย์ไม่เคยเห็น พระพุทธองค์ก็มีอยู่จริง เหมือนดังสะดือทะเลนั่นแหละ ขอให้พระองค์จงเชื่อมั่นเถิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่จริง” เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ท่านก็ถามต่อไปอีกว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้านี้เป็นผู้ประเสริฐที่สุด หาสิ่งที่เสมอไม่ได้ จริงหรือเท็จประการใด” พระนาคเสนท่านยืนยันหนักแน่นว่า “พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐสุด จะหาผู้อื่นมาเปรียบไม่ได้อีกแล้วมหาบพิตร นี้เป็นความจริงแท้แน่นอน” เมื่อได้ฟังคำยืนยันอย่างนั้นก็ซักต่อไปว่า “ทำไมพระคุณเจ้าถึงรู้เล่า เพราะตัวท่านเองก็ไม่รู้ไม่เห็น แล้วรู้ได้อย่างไร”

เมื่อโดนซักถามปัญหาอย่างนี้ ถ้าเป็นพวกเราทั้งหลาย คงจะหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญใจ แต่พระนาคเสนท่านมีเมตตา ใจท่านใสบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เต็มด้วยมหากรุณาจึงวิสัชนาปัญหาต่อไปว่า “ถวายพระพร มหาบพิตร อย่างที่อาตมาถามทีแรก เรายังไม่เคยมีใครเห็นมหาสมุทร เขาก็พากันรู้ได้ว่า มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ด้านความลึกก็แสนจะลึกสุดวิสัยยากจะหยั่งได้ และยังเป็นที่รวมลงของมหานทีทั้งหลาย แม่น้ำเหล่านั้นไหลบ่ามามากเท่าไร มหาสมุทรก็ไม่รู้จักเต็ม คนทั้งหลายรู้หรือเปล่าว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่มหาบพิตร”

พระยามิลินท์ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า “พระคุณเจ้า คนทั้งหลายรู้อยู่ว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่ไพศาล” พระนาคเสนซักถามต่อว่า “แล้วทำไมพวกเขาทั้งหลายแม้ไม่เคยสำรวจให้ทั่วถึงจึงรู้ว่ามหาสมุทรนี้ทั้งลึกทั้งกว้างใหญ่” พระยามิลินท์ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า “เพราะผู้ใหญ่ผู้เฒ่าบอกสืบต่อกันมา จึงรู้ว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นะพระคุณเจ้า”

พระนาคเสนได้ฟังเช่นนั้น ท่านจึงสรุปว่า “ความข้อนี้เป็นฉันใด อาตมาแม้ไม่ทันเห็นองค์พระชินสีห์กับตา ก็ได้ทัศนาเห็นพระสาวกผู้เป็นพระอรหันต์อันเป็นศิษย์ต่อมาช้านาน ท่านเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ดังนั้นอาตมาก็รู้อยู่ว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้หมดสิ้นกิเลสอาสวะ เลิศประเสริฐที่สุดในโลก หาผู้เสมอมิได้ มหาบพิตร”

พระยามิลินท์ได้สดับคำวิสัชนา ในใจลึกๆ เริ่มยอมรับการแก้ปัญหาของพระเถระ แต่ยังมีทิฏฐิอยู่จึงถามต่อไปว่า “พระนาคเสน พระพุทธเจ้านี้มีอยู่จริงใช่ไหม” “ใช่สิมหาบพิตร มีอยู่จริงๆ” พอได้โอกาสพระยามิลินท์ก็ซักต่อไปว่า “ถ้าพระพุทธเจ้านี้มีอยู่จริง ท่านพอจะชี้ได้หรือไม่ว่า พระองค์เสด็จอยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่” พระนาคเสนจึงตอบไปว่า “พระพุทธองค์เสด็จเข้าอายตนนิพพานไปแล้ว จะให้อาตมาชี้ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ จนใจที่จะชี้ให้มหาบพิตรจริงๆ” ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอุปมาให้หายสงสัยเถิด พระนาคเสนจึงถามต่อไปว่า “พระราชสมภารเจ้า เปลวอัคคีที่รุ่งโรจน์โชตนาการ เมื่อเปลวเพลิงดับไป มหาบพิตรสามารถชี้ได้หรือไม่ว่าเปลวไฟนั้นอยู่ที่ไหน” “ไม่อาจชี้ได้หรอกพระคุณเจ้า เพราะมันดับไปแล้ว” “เหมือนกันน่ะแหละ มหาบพิตร เมื่อพุทธองค์เสด็จสู่อายตนนิพพาน จะชี้ให้เห็นด้วยตามนุษย์ อาตมาก็จนใจไม่รู้จะชี้ได้อย่างไร เหมือนเปลวไฟที่ดับไปแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะชี้ให้เห็นได้อย่างไร”

พระยามิลินท์ได้ฟังอย่างนั้น ยังไม่หมดข้อสงสัย จึงถามว่า “สมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่ สาธุชนทั้งหลายจะบูชาก็ควร แต่เดี๋ยวนี้พระองค์เข้าพระนิพพานไปแล้ว จะไหว้จะบูชาสมเด็จพระบรมศาสดาก็ไม่ทรงยินดี การบูชาอย่างนี้จะมีผลอะไรเล่าพระคุณเจ้า” พระนาคเสนจึงวิสัชนาว่า “อย่าว่าแต่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วจะไม่ยินดีสักการบูชาเลย แม้พระองค์ยังพระชนม์ชีพอยู่ก็ไม่ทรงยินดีหรือติดลาภสักการะ พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า พระชินสีห์จะยินดีในสักการบูชาก็หาไม่ แต่ก็ควรที่เทวดา และมนุษย์จะบูชา เพราะเมื่อบูชาพระพุทธเจ้าแล้ว มีผลานิสงส์จะนับจะประมาณมิได้ ถวายพระพร”

พระยามิลินท์ทรงค้านขึ้นว่า “พระคุณเจ้า จะมาอ้างคำของพระสารีบุตรได้อย่างไรเล่า เชื่อยังไม่ได้ จงวิสัชนาใหม่เถิด” พระนาคเสนจึงวิสัชนาด้วยจิตใจที่ผ่องแผ้วว่า “มหาบพิตร พระพุทธเจ้าเสด็จเข้านิพพานแล้ว คำที่ว่าเทวดาและมนุษย์มีใจศรัทธาอุตสาหะกระทำสักการบูชาธาตุรัตนะของพระองค์ซึ่งมิได้ยินดีสักการะนั้น ย่อมไม่มีผล คำนี้ไม่เป็นความจริง อุบาสกอุบาสิกามีใจศรัทธาอุตสาหะ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ประทานไว้ ย่อมจะได้สมบัติ ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ อย่างแน่นอน เหมือนกองเพลิงใหญ่ลุกโชตนาการแล้วดับไป กองเพลิงนั้นแม้ไหม้อยู่ก็ไม่ยินดีในเชื้อทั้งหลาย แม้ดับไปก็ไม่ยินดีในเชื้อแล้ว ครั้นมนุษย์เพียรสีไฟ ไฟก็มีขึ้นได้อีก ถ้าเพลิงดับแล้วกลับติดขึ้นได้ คำที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเข้านิพพาน การบูชาไม่มีผล เป็นคำที่ไม่ถูกต้อง กองเพลิงรุ่งโชตนาการฉันใด พระพุทธเจ้าก็รุ่งเรืองด้วยพุทธรังสี ฉันนั้น สาธุชนทั้งหลายผู้มีใจศรัทธา ถวายเครื่องสักการบูชา ปรนนิบัติด้วยสัมมาปฏิบัติตามพระดำรัสของพุทธองค์ ก็จะได้สมบัติทั้งสาม มีมรรคผลนิพพานเป็นที่ไป”

ดังนั้น การบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ หรือปรินิพพานไปแล้ว บุญที่เราทำไว้ไม่ได้สูญหายไปไหน มีแต่จะทำให้เราได้บุญใหญ่ อย่างจะนับจะประมาณมิได้ ได้บุญกันนับภพนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้นขอให้พวกเราทุกคน หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา บูชาพระพุทธองค์ทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา ถ้าเราตั้งใจทำความดีอย่างนี้กันอย่างเต็มที่ ในไม่ช้าเราก็จะสมปรารถนา ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกๆ คน

* มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/14375
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *