๒๕. วิตามินพระ

วิตามินพระ

เมื่อบวชแล้วต้องตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมตลอดชีวิต ต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่อที่จะไปดูแลผู้อื่นได้ แล้วก็ให้ศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เทศนา และวิชชาธรรมกาย ให้แตกฉาน

ถ้าบวชแล้วไม่บำเพ็ญสมณธรรม ไม่เจริญศีล สมาธิ ปัญญา หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่นั่งสมาธิ บวชมาก็อย่างนั้นๆ ไม่ได้อะไร เพราะบวชแล้วก็ยังไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร หรือวิตามินของความเป็นพระมันมีรสอร่อย รสโอชาอย่างไร เราจะไม่มีวันรู้จักเลย ถ้าไม่บำเพ็ญสมณธรรม ถ้าไม่ทำสมาธิ แค่อ่านจากตำรับตำรามันทราบ แต่มันไม่ซึ้ง คือทราบว่า มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ซึ้ง เพราะอ่านไปก็ยังสงสัยอยู่ เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่า เอ๊ะ! มีจริงไหม พอเอ๊ะ! ทีไร มันแปล๊บเข้าไปในใจทุกครั้ง เพราะมันยังไม่ค่อยมั่นใจ

ถ้าเราไม่มั่นใจแล้ว เวลาญาติโยมถาม นรกสวรรค์มีจริงไหม บาปบุญคุณโทษมีไหม มันก็ไม่ค่อยจะมั่นใจ ตอบแบบคลุมๆ เครือๆ ตอบแบบกำกวม มันก็น่าจะมีนะอะไรอย่างนี้ โยมได้ฟังแล้วก็ เอ้อ บุญก็น่าจะทำนะ แล้วก็ไม่ทำ แต่ถ้าบอกมีจริง อ่ะ ทำ ถ้าบอกไม่มีก็ไม่ทำ ถ้าบอกน่าจะมี ก็น่าจะทำ มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น บวชแล้วอยากจะรู้รสชาติของการบวชว่า ปวัชชะ เว้นจากการกระทำแบบคฤหัสถ์ ที่สงัดจากกามและบาปอกุศลธรรม ละวิตก วิจาร เข้าถึงปีติ สุข เอกัคคตา เป็นอย่างไร การที่จะไปอ่านตำรับตำราอย่างเดียว ไม่มีวันรู้เรื่อง ต้องลงมือปฏิบัติจนกระทั่งใจหยุดนิ่ง พอใจใสแล้ว สงัดจากกาม ใจจะกว้างขวาง เราจะซาบซึ้งว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การเป็นคฤหัสถ์ การครองเรือนนั้น มันอึดอัด มันคับแคบ การจะรู้ว่า มันอึดอัด มันคับแคบเป็นอย่างไร เราต้องรู้จักว่า ใจที่มันกว้างขวาง ที่มันขยายเป็นอย่างไร

ทีนี้ใจจะขยายได้ ใจต้องหยุดนิ่ง การทำบุญใหญ่ด้วยมหาทานบารมี ก็ได้รู้จักบ้างเล็กน้อยตอนเกิดปีติ ขนลุกขนพอง แต่ปริมาณยังไม่เท่ากับใจหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว ใจจะขยายออกไปเลย มันมีปีติ มีความสุข มีความเบิกบานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ เพราะฉะนั้นจะรู้จักวิตามินพระได้ต้องนั่งสมาธิ ต้องทำตรงนี้ ถ้ามัวแต่เม้าท์กันโม้กันก็ไม่มีวันรู้จัก

อีกประการหนึ่ง เราจะได้ขบฉันด้วยความเป็นนาย ไม่ฉันด้วยความเป็นหนี้ เป็นผู้ให้ เป็นทักขิไณยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญ เราจะเป็นเนื้อนาบุญได้ก็ต้องเข้าไปถึงนาบุญซึ่งอยู่ภายใน ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปุ๋ยแห่งความดี เป็นพลังงานอันบริสุทธิ์ ที่มีอานุภาพไม่มีวันสิ้นสุด เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ญาติโยมที่เขามาทำบุญกับเรา ที่เขานำภัตตาหารมาถวายแล้ว ทุกคำกลืนที่เรากลืนเข้าไป เปรียบเหมือนกับกลืนเพชรกลืนพลอย มันใสยิ่งกว่าอาหารทิพย์ เพราะขณะที่ฉันนั้น ใจเราใสสว่าง ทุกคำกลืนก็เปลี่ยนเป็นบุญเกิดขึ้นกับเราก่อน แล้วก็ไปถึงญาติโยมด้วย อย่างนี้ฉันด้วยความไม่เป็นหนี้แต่ฉันด้วยความเป็นนาย

อีกประการหนึ่ง ที่หลวงพ่ออยากจะฝากเอาไว้ ทั้งลูกพระลูกเณรในวัด และที่ประจำอยู่ศูนย์สาขาต่างๆ ก็ดี ว่า บวชเป็นพระเป็นเณรแล้วอย่าดูหนังดูละครนะลูกนะ ดีอย่างที่นี่ไม่มีทีวีเอาไว้สำหรับดูหนังดูละคร เพราะมีความคิดว่า มันไม่เกิดประโยชน์อะไร อีกอย่างโยมเขาถือศีล ๘ ถือศีลอุโบสถ โยมเขายังไม่ดูหนังดูละครเลย เพราะฉะนั้นลูกพระลูกเณรอย่าไปดูนะลูกนะ มันไม่เกิดประโยชน์คิดดูก็แล้วกัน เราถือศีล ๒๒๗ ข้อ โยมถือศีล ๘ ข้อ เขายังทำได้ เราถือศีล ๒๒๗ ทำไม่ได้ มันก็พิลึก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปฉันข้าวของโยมเลย อย่างนี้ต้องถือศีลกินลม จะได้ไม่เป็นหนี้ หากเราดูหนังดูละครมันเป็นหนี้เขานะ ไม่คุ้มกับการบวช อย่างนี้อย่าบวชเลย บวชแล้วเป็นลูกหนี้เขา เมื่อไปเกิดใหม่ต้องไปใช้หนี้เขา ต้องไปเกิดเป็นอะไรให้เขาใช้ปลูกข้าวให้เขากิน เพราะเรากินข้าวของเขา มันก็ต้องผลัดกัน เพราะฉะนั้นอย่านะลูกนะ

บวชเป็นพระแล้วต้องบำเพ็ญสมณธรรม วิตามินของพระ คือ บำเพ็ญสมณธรรม อย่าลืมประโยคนี้ แล้วจะสนุกกันใหญ่เลย เรามีโอกาสว่าง ชีวิตเราไม่คับแคบ ไม่มีเครื่องกังวล จะแสวงหาความรู้ภายในไปได้เรื่อยๆ เป็นความรู้คู่ความสุข ความรู้จะไม่มีวันสิ้นสุดเมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว
๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://www.dhamma01.com/book/92
ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 3 ชีวิตสมณะ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

กลับสู่
สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *