๑๓. ของเก่านำมาเป่าฝุ่นใหม่

ของเก่านำมาเป่าฝุ่นใหม่

การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย ที่พระเดช-พระคุณหลวงปู่ท่านค้นพบนั้น ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่วิธีการใหม่เป็นของเก่า แต่นำมาเป่าฝุ่นใหม่ เพราะพระธรรมกายมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก

วิธีปฏิบัติที่พระโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ ๔๐ วิธี ทุกวิธีเป็นไปเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายทั้งนั้น แต่ที่ไม่รู้จักพระธรรมกาย เพราะวางใจไว้ผิดที่ ถ้าหากเราวางใจไว้ถูกที่แล้ว จะต้องเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน

การปฏิบัติธรรม ๔๐ วิธี แยกเป็นประเภทได้ดังนี้ คือ
๑ ส่งจิตออกนอกตัว
๒ ส่งจิตเข้าไว้ในตัว
๓ ส่งจิตเข้ากลางตัว

วิธีปฏิบัติประเภท ๑ กับ ๒ จะไม่พบพระธรรมกาย แต่จะพบพระธรรมกายได้ด้วยวิธีที่ ๓ คือ เอาจิตเข้ากลางตัวซึ่งเป็นเส้นทางสายกลางของพระอริยเจ้า

ประเภทที่ ๑ ส่งจิตออกนอกตัว เมื่อจิตสงบแล้ว จะพบแต่แสงสว่าง พบดวงแก้วนอกตัว บางครั้งก็มีนิมิตเลื่อนลอยต่างๆ เกิดขึ้นมามาก เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์สมัยโบราณ ท่านจึงไม่ให้ยึดติดในนิมิตเลื่อนลอยนั้น และจะไม่พบพระธรรมกาย จึงไม่รู้จัก ทำให้เข้าใจว่า ธรรมกาย คือ ลัทธิใหม่ วิธีการใหม่ เป็นวิธีที่ ๔๑ บ้าง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด

ประเภทที่ ๒ ส่งจิตเข้ามาในตัว แต่ไม่ตรงกลางกาย ที่สุดของสมาธิวิธีนี้ จะพบดวงสว่าง มีบางครั้งอาจพบกายของตัวเอง พบองค์พระบ้าง แต่ก็ไม่ทราบว่าคืออะไร แล้วจะไปต่ออย่างไร

ประเภทที่ ๓ ส่งจิตเข้ากลางตัว คือ กลางกายภายในตัว วิธีนี้เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนแล้วจะเข้าถึงพระธรรมกาย

พระธรรมกายนั้นอยู่ในกลางตัวของมนุษย์ทุกคน ที่ว่าเป็นของเก่าดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา คือ หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๕๐๐ ปี พระสัทธรรมนี้ คือ พระธรรมกาย ก็อันตรธานหายไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (สด จนฺทสโร) ท่านสละชีวิตศึกษาค้นคว้าเรื่อยมา ตั้งแต่ส่งจิตออกนอกตัว นำจิตเข้ามาสู่ภายในตัว แล้วก็นำจิตเข้ากลางตัว ก็พบว่า นอกตัวกับในตัวนั้นไม่พบพระธรรมกาย จะพบพระธรรมกายเมื่อวางใจไว้กลางตัวเท่านั้น

เมื่อนำจิตดำดิ่งเข้าไปสู่ภายในจึงพบพระธรรมกาย พอพบพระธรรมกายแล้ว อาศัยมหากรุณาได้นำสิ่งนี้มาเผยแพร่ต่อชาวโลกทั้งหลายว่า มีพระรัตนตรัยอยู่ในตัวของเรา เป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง

<< พระรัตนตรัย อยู่ในตัวเรา >>

พระธรรมกายเป็นแก้ว เรียกว่า พุทธรัตนะ
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระธรรมกายนั้น หรือความรู้ทั้งมวลของพระธรรมกายหลั่งไหลออกมาจากในกลางของพระธรรมกาย เรียกว่า ธรรมรัตนะ

พระสงฆ์ หรือ พระธรรมกายละเอียด หรือดวงจิตที่ละเอียดที่รักษาธรรมรัตนะนั้นเอาไว้ เรียกว่า สังฆรัตนะ ซ้อนอยู่ภายใน

พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ แม้จะแยกกันตามชื่อ พุทธรัตนะอย่างหนึ่ง ธรรมรัตนะอย่างหนึ่ง สังฆรัตนะอย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้วก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ สรณะที่พึ่งที่ระลึก เหมือนเพชร มีทั้งเนื้อดี สีดี แววดี รวมเรียกว่า เพชร
เนื้อดี ก็ได้แก่ พุทธรัตนะ
สีดี ก็ได้แก่ ธรรมรัตนะ
แววดี ก็ได้แก่ สังฆรัตนะ

ทั้งสามนี้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ในกลางตัว

เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านค้นคว้าต่อไป ก็พบว่า ความสว่างของจิตที่สว่างที่สุดนั้นต้องอยู่กลางตัว อยู่ข้างนอกตัวนั้นสว่างพอประมาณ อยู่ในตัวนั้นสว่างยิ่งขึ้น อยู่กลางตัวนั้นสว่างที่สุด ความสว่างกับความบริสุทธิ์สัมพันธ์กัน ยิ่งสว่างเท่าไรความบริสุทธิ์ยิ่งมีมากขึ้น

ความสว่าง ความบริสุทธิ์ กับความมั่นคงของจิตก็สัมพันธ์กัน อยู่นอกตัวเหมือนยืนหมิ่นๆ หมิ่นเตียง หมิ่นโต๊ะ อยู่ในตัวก็เขยิบเข้ามาหน่อย อยู่กลางตัวเหมือนยืนอยู่จุดกึ่งกลางของโต๊ะ ก็จะมีความมั่นคงที่สุด

เพราะฉะนั้น ได้โปรดทำความเข้าใจว่า พระธรรมกาย ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่นิกายใหม่ ไม่ใช่วิธีที่ ๔๑ แต่ว่าวิธีปฏิบัติทั้ง ๔๐ วิธีนั้น เป็นไปเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในทั้งสิ้นแต่เนื่องจากเราใช้คำนั้นไม่ครบถ้วน มักจะใช้คำว่าเป็นวิธีธรรมกาย เมื่อเราใช้คำว่า วิธีธรรมกาย ผู้ที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นวิธีที่ ๔๑ แต่ถ้าคำเต็มแล้ว เขาใช้ว่า วิธีเข้าถึงพระธรรมกาย

เพราะฉะนั้น ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดี แล้วเราจะพบว่าของจริงนั้นมีอยู่ในกลางตัวของเรานี่เอง ที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยใจของเราที่ละเอียดเท่ากันกับพระธรรมกาย เหมือนเครื่องส่งเครื่องรับของพระธรรมกายนั้นตรงกัน เหมือนเครื่องส่งเครื่องรับวิทยุอย่างนั้น

<< สติปัฏฐาน ๔ กับวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย >>

พระธรรมกายที่อยู่ในกลางตัวนี้ เป็นวิธีปฏิบัติแบบสติปัฏฐาน ๔ คือ ตามเห็นกายในกายเข้าไปเรื่อยๆ กายภายในซ้อนอยู่ในกายภายนอก แล้วก็กายภายในซ้อนอยู่กายภายใน เป้าหมายก็คือ ต้องการให้เข้าไปถึงกายที่สุด ที่เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา

กายภายนอกที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสาระแก่นสาร ท่านให้ปลด ปล่อย วาง ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปยึด เนื่องจากว่า มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ยึดไว้ก็เสียเวลาเปล่า

กายภายนอกท่านให้วางเอาไว้ ให้เข้าไปยึดกายที่สุด ที่เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา ให้ความสุขอย่างเต็มเปี่ยมของชีวิต ให้ความเบิกบาน เป็นตัวตนที่แท้จริง บังคับบัญชาได้ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

จะเปลี่ยนจากผู้ไม่รู้มาเป็นผู้รู้ ความรู้นั้นเกิดจากการเห็นแจ้ง เห็นได้ด้วยตาธรรมกาย แล้วก็หยั่งรู้ได้ด้วยญาณของพระธรรมกาย จึงกลายเป็นผู้รู้เกิดขึ้น เมื่อรู้แล้วก็ตื่นจากกิเลสอาสวะที่ครอบงำอยู่ เช่น ความโลภทำให้จิตหิว ความโกรธทำให้จิตร้อน ความหลงทำให้จิตมืด หิว ร้อน มืดเหล่านี้ดับไป

เมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย จะมีความรู้สึกไม่หิว คือ เต็มเปี่ยม มีความอิ่มอกอิ่มใจ เบิกบาน จิตนั้นเย็นสบาย แล้วก็สว่าง ทั้งหมดนี้จะรวมประชุมอยู่ในพระธรรมกาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว

<< ธมฺมกาโย อหํ อิติปิฯ >>

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เกิดขึ้นเมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย ภาษาบาลีท่านเรียกว่า พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เพราะฉะนั้นเห็นพระธรรมกายจึงได้ชื่อว่า เห็นพระพุทธเจ้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า
ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ
เรา คือ ธรรมกาย ธรรมกาย คือ เรา

ท่านใช้คำนี้ เพราะว่าใจของท่านปล่อยวาง กายที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายที่เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา กลืนกันเป็นเนื้อเดียว ใจท่านกับใจธรรมกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด

ธรรมกาย คือ ท่าน ท่าน คือ ธรรมกาย

ดังนั้น คำนี้จึงเกิดขึ้น ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เรากับธรรมกายเป็นอันเดียวกัน เห็นพระธรรมกายก็ได้ชื่อว่า เห็นเรา เห็นเราก็ได้ชื่อว่า เห็นพระธรรมกาย นั่นหมายถึง พระธรรมกายของพระองค์

พระธรรมกายในตัวเราก็เหมือนกัน เมื่อเราเข้าถึงแล้ว ก็ได้ชื่อว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้าภายใน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายขอได้โปรดทำความเข้าใจดังกล่าวแล้ว

<< ขันธ์ ๕ กับ ธรรมขันธ์ >>

กายที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น บางครั้งท่านก็เรียกว่า ขันธ์ ๕
มีกายมนุษย์หยาบที่เราอาศัยนั่งเข้าที่ปฏิบัติธรรม กายมนุษย์ละเอียดที่ซ้อนอยู่ภายใน นั่นก็เรียกว่า ขันธ์ ๕
กายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ก็เรียกว่า ขันธ์ ๕
กายรูปพรหมที่ซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์ ก็เรียกว่า ขันธ์ ๕
กายอรูปพรหมที่ซ้อนอยู่ในกลางกายรูปพรหม ก็เรียกว่า ขันธ์ ๕

ที่เรียกว่า ขันธ์ เพราะประชุมรวมกัน เป็นกองเป็นกลุ่มเป็นก้อนแต่เป็นโลกียขันธ์ จึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลาย ไม่มีสาระแก่นสาร

ส่วน ธรรมกาย ที่เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา นั้น ท่านมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมขันธ์ คือ เป็นก้อนธรรมล้วนๆ บริสุทธิ์ล้วนๆ คงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา จึงได้ชื่อว่า ธรรมขันธ์

เพราะฉะนั้น ขอได้โปรดแยกออกให้ได้ ระหว่างขันธ์ ๕ กับธรรมขันธ์

ดังนั้น สรุปได้ว่า ธรรมกายนี้เป็นของมีอยู่จริงในกลางตัวของพวกเรา เป็นของมีอยู่เก่าก่อน ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่วิธีการใหม่ ไม่ใช่นิกายใหม่

<< วิเคราะห์วิธีปฏิบัติ ๔๐ วิธี >>

ส่วนวิธีการปฏิบัติ ๔๐ วิธีนั้น ไม่ว่าจะเป็นกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ และอรูป ๔ หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายได้ทั้งสิ้น

แต่ทีนี้ ทำไมบางท่านปฏิบัติวิธีอย่างนั้นแล้วจึงไม่พบพระธรรมกาย ก็ขอพูดซ้ำอีกทีว่า เพราะวางใจผิดที่

การปฏิบัตินั้น ถ้าเราเริ่มจากกสิณ เช่น สมมติว่า เราเริ่มจากกสิณน้ำ กำหนดน้ำเป็นอารมณ์ พอใจหยุดถูกส่วน ก็ได้ภาพน้ำนั้นติดอยู่ในใจเรา เป็นดวงกลมสว่าง ถ้าน้อมดวงสว่างนั้นมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่สถิตของพระธรรมกาย ดวงที่มาตั้งไว้ที่ฐานที่ ๗ นั้น ถูกส่วนก็จะตกศูนย์เกิดเป็นดวงใหม่ชื่อว่า ปฐมมรรค แปลว่า หนทางเบื้องต้นที่จะเข้าถึงธรรมกายภายใน แต่ถ้าเอาดวงนั้นมาตั้งไว้ข้างหน้า คือ หลับตาแล้วเห็นแต่ดวงลอยอยู่ข้างหน้านั้น ซึ่งไม่ใช่ที่สถิตของพระธรรมกาย จึงไม่เห็นพระธรรมกาย ดวงสว่างที่ตั้งไว้ข้างหน้าจึงเป็นแค่ดวงกสิณเท่านั้นเอง ไม่ใช่ดวงปฐมมรรค

ทีนี้ ถ้าหากเราเริ่มต้นมาจากอสุภะ จากซากศพ เพ่งพิจารณาไป จะด้วยวิธีการอะไรก็แล้วแต่ เพ่งเฉยๆ หรือแยกแยะเป็นส่วนๆ หรือจะใช้จินตมยปัญญา ความรู้จำที่ได้เรียนรู้มาจากตำรับตำราพิจารณา จะให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเป็นปฏิกูลอะไรก็แล้วแต่ เมื่อใจสงบหยุดนิ่งเป็นสมาธิ ภาพอสุภะนั้นจะใสเป็นแก้ว แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นดวงสว่าง ดวงสว่างที่ลอยอยู่ข้างหน้า ถ้าอยู่ข้างหน้าก็เหมือนกับกสิณน้ำ ถ้าน้อมเอาเข้ามาไว้ที่ฐานที่ ๗ ก็เป็นปฐมมรรค คือ หนทางเบื้องต้นที่จะเข้าถึงธรรมกาย

อีกวิธี หากเราเริ่มมาจากลมหายใจเข้าออก ที่เรียกว่า อานาปานสติ แปลว่า สติจับลมเข้ากับออกให้มันหยุดนิ่ง คือ จับให้อยู่ ลมมันเข้าแล้วมันก็ออก เข้าแล้วก็ออก ถ้าเราจับอยู่ได้ เราจะมีความรู้สึกลมมันนิ่งเหมือนไม่ได้หายใจ พอลมหยุด ใจก็หยุด พอใจหยุด ดวงธรรมก็เกิด เป็นดวงสว่าง ใสเป็นแก้ว อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านั้น

ถ้าหากว่า ลมมาหยุดที่ปากช่องจมูก ก็จะได้ดวงที่ตรงนั้น ถ้าหยุดอยู่ที่กลางทรวงอก ดวงก็อยู่ที่กลางทรวงอก ถ้าอยู่ลึกลงไปอีก ที่สุดของลมหายใจ ดวงก็จะอยู่ที่สุดของลมหายใจคือ ฐานที่ ๗

ถ้าหยุดดวงอยู่ข้างนอกที่ปากช่องจมูก แล้วตั้งเอาไว้อยู่อย่างนั้นเฉยๆ เราก็จะไม่พบธรรมกาย ถ้าเอาดวงมาหยุดอยู่ในกลางทรวงอก อยู่เฉยๆ อย่างนั้น มีแต่ความสุข มีความเบิกบาน มีสติ มีปัญญาอยู่ตรงนั้น และหยุดอยู่เฉยๆ ก็ไม่พบธรรมกายอีกเหมือนกัน ต้องไปที่สุดลมหายใจ คือ ตรงฐานที่ ๗ ตรงที่ลมหยุด

พอลมหยุด ใจก็หยุด เป็นดวงสว่าง และถ้าเข้ากลางดวงนั้นไป ก็จะพบธรรมกาย เพราะฉะนั้นที่ปฏิบัติแล้วไม่พบธรรมกาย ก็เพราะว่า วางผิดที่

ทีนี้ ถ้าเราเริ่มมาจากอนุสสติ ๑๐ อย่าง เช่น เราระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย คุณของพระพุทธเจ้าก่อน พอระลึกนึกถึงคุณท่าน ตั้งแต่พุทธประวัติเรื่อยมาเลย จิตใจเกิดความเบิกบาน ชุ่มชื่น มีความสุขภายใน ปล่อยวางอารมณ์ภายนอก พอปล่อยวางอารมณ์ภายนอก ใจก็หยุด

พอใจหยุด แสงสว่างก็เกิด ถูกส่วนเข้าก็รวมเป็นดวงอย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านั้น

ถ้าหยุดอยู่ข้างนอก ก็ทำนองเดียวกันกับอานาปานสติที่เรากำหนดอยู่ข้างนอก ก็ไม่พบธรรมกาย ถ้าหยุดอยู่ในกลางทรวงอก ก็ไม่พบธรรมกาย ต้องน้อมเอาดวงนั้นมาหยุดนิ่งอยู่่ตรงฐานที่ ๗ จึงจะเข้าถึงพระธรรมกายได้

<< พระคุณของหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ >>

หลวงปู่วัดปากน้ำทราบอย่างนี้ใน ๔๐ วิธี เพราะท่านทำผ่านมาหมดแล้ว ท่านจึงศึกษาต่อไปก็พบว่า ทางเดินของใจที่จะเข้าถึงฐานที่ ๗ นั้น มีอยู่ทั้งหมด ๗ ฐาน

ฐานที่ ๑ ที่ปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา
ฐานที่ ๒ ที่หัวตา หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา
ฐานที่ ๓ ที่กลางกั๊กศีรษะ
ฐานที่ ๔ ที่เพดานปาก ตรงช่องปากอาหารสำลัก
ฐานที่ ๕ ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
ฐานที่ ๖ ในระดับเดียวกับสะดือ ในกลางท้อง ถ้าเราขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสอง เรียกว่า ฐานที่ ๖

เหนือจุดตัดนั้นขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗

ทั้ง ๗ ฐานนี้ คือ ทางเดินของใจ เป็นทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลก ของทุกๆ คน ไปเกิดมาเกิดต้องเข้าตามฐานนี้ เวลามาเกิดเข้าทางปากช่องจมูก แล้วมาหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ เวลาไปเกิดก็ออกจากฐานที่ ๗ จนกระทั่งไปถึงฐานที่ ๑

ในการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เมื่อหลวงปู่ท่านทราบว่า มีอยู่ ๓ ประเภท ๔๐ วิธี คือ จิตอยู่ข้างนอก ได้ดวงข้างนอก จิตเข้าข้างใน ได้ดวงข้างใน จิตเข้าตรงกลางกายภายในตัว ได้ดวงตรงกลางกาย ท่านจึงสอนตั้งแต่เบื้องต้นให้กำหนดดวงแก้วเป็นบริกรรมนิมิต

ที่ให้กำหนดดวงแก้ว เพราะว่าจะปฏิบัติวิธีไหนก็ตาม พอใจหยุดแล้วต้องได้ดวงสว่าง

ท่านให้เอาดวงสว่างมาจ่อไว้ที่ปากช่องจมูก ให้จรดอยู่ที่ตรงนั้น เพราะว่าบางคนกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วไปหยุดอยู่ที่ตรงนั้น มันเห็นตรงนั้น ท่านก็ให้น้อมเข้าไป สูดตามลมเข้าไป

แล้วเลื่อนไปที่ฐานที่ ๒ สำหรับบางท่านปฏิบัติแล้ว ดวงสว่างเกิดขึ้นที่หน้าผาก ท่านก็ให้น้อมต่อเข้าไปอีกถึงกลางกั๊กศีรษะ พอไปถึงกลางศีรษะ บางท่านปฏิบัติแล้วได้ดวงสว่างที่กลางกะโหลกศีรษะ ท่านก็ให้ดึงน้อมต่อลงมาอีก มาที่ฐานที่ ๔ บางท่านปฏิบัติแล้วอยู่ที่ฐานที่ ๔ ท่านก็ให้ดึงต่อมาอีก น้อมมาอยู่ที่ฐานที่ ๕ ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก ท่านให้ดึงต่อมาอีก จนกระทั่งไปถึงฐานที่ ๗ ตำแหน่งที่ตั้งเดียวเท่านั้นในโลกนี้ ที่จะเข้าถึงศูนย์กลาง เข้าถึงพระธรรมกายได้

เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายขอได้โปรดทำความเข้าใจว่า วิธีที่ท่านปฏิบัตินี้ถูกต้องแล้ว พระพุทธศาสนาเริ่มต้นจากพระธรรมกายนี้เป็นต้นไป

<< ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ >>

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ทรงสละราชสมบัติ แสวงหาหนทางพระนิพพาน พระองค์ทรงพบกับอาจารย์อาฬารดาบสกับอุทกดาบส ปฏิบัติไปแล้ว ได้ดวงข้างนอกก็มี ได้ดวงภายในก็มี ได้กายภายในก็มี แต่กายภายในไปสิ้นสุดที่กายอรูปพรหม คือ เริ่มจากกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม ไปสุดอยู่ที่กายอรูปพรหม เรียกว่าได้สมาบัติ ๘

อาฬารดาบสกับอุทกดาบส ครูของท่านสอนให้มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ คือได้ถึงกายอรูปพรหม แต่ว่าอ่อนแก่กว่ากัน พระองค์เห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงได้สละจากอาจารย์ทั้งสองมาศึกษาค้นคว้าต่อด้วยตัวเอง ด้วยการทรมานตน ทรมานก็ลำบากไปเปล่าๆ ไม่ได้ผล ด้วยวิธีที่เอาใจพัวพันอยู่กับทางโลกก็ไม่ได้ผล เพราะพระองค์ก็ผ่านมาหมดแล้ว ในที่สุดก็วางใจเป็นกลางๆ เอาใจเป็นกลางๆ หยุดอยู่ภายใน ผ่านวิธีการต่างๆ เข้าไปเรื่อยๆ พอทะลุกายอรูปพรหมก็ถึงกายธรรม

<< พุทธศาสนิกชนที่แท้จริง เริ่มต้นที่พระธรรมกาย >>

กายธรรมในเบื้องต้นนั้น เรียกว่า โคตรภู เมื่อเข้าถึงกายธรรมเบื้องต้น จึงเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนเป็นโคตรภูบุคคล โคตรภูบุคคลเป็นบุคคลที่อยู่กึ่งกลางระหว่างปุถุชนกับพระอริยเจ้า

อย่างพวกเราทั้งหลายที่ปฏิบัติ บางท่านเข้าถึงโคตรภู ก็หมายถึงว่า ขาข้างหนึ่งก้าวไปสู่ภูมิของพระอริยะ อีกข้างหนึ่งอยู่ในภูมิของปุถุชน เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างภูมิทั้งสอง ถ้าประมาท โคตรภูนั้นก็ดับได้ เสื่อมมาอยู่ในภูมิของปุถุชน ถ้าไม่ประมาทก็ก้าวต่อไปได้ถึงภูมิของพระอริยเจ้า แล้วในที่สุดท่านก็ดำเนินจิตไปเรื่อย จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายที่สุดที่อยู่ภายในของพระองค์ท่าน

เพราะฉะนั้น พระธรรมกาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะต้องเข้าถึงพระธรรมกายนี้แหละเป็นเบื้องต้น จึงจะได้ชื่อว่า เป็นพุทธศาสนิกชน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

คำว่า อุบาสก อุบาสิกา แปลว่า ผู้เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายถึง ผู้ที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย

เมื่อตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โปรดพระเจ้าพิมพิสารกับบริวาร ๑๒ ส่วน ๑๑ ส่วน ได้ถึงภูมิของพระอริยเจ้า และอีก ๑ ส่วน เข้าถึงไตรสรณคมน์ ๑ ส่วนที่เข้าถึงไตรสรณคมน์นั้น หมายถึง ผู้ที่เข้าถึงพระธรรมกายเบื้องต้น คือ ธรรมกายโคตรภูนั่นเอง

ไตร แปลว่า สาม
สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ที่ระลึก
คมน์ (คมน) แปลว่า เข้าถึง แล่นไปถึง

ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย รัตนะทั้งสามภายใน มีธรรมกายปรากฏอยู่ คือ ธรรมกายโคตรภูนั่นเอง หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วา นิดหน่อย คือ ไม่ถึง ๕ วา แล้วก็หย่อนลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เล็กนิดเดียว กระทั่งเกือบ ๕ วา เรียกว่า โคตรภู ถึงตรงนี้ได้ก็เป็นโคตรภูบุคคล ถ้ามั่นคง ถ้ายังไม่มั่นคงก็ได้แค่ได้ ยังไม่เป็น ดังนั้นบริวาร ๑ ส่วนของพระเจ้าพิมพิสาร ที่ถึงไตรสรณคมน์นั้น หมายถึงว่า เข้าถึง ได้ไปพบไปเห็นว่า พระธรรมกายมีจริงอยู่ภายในตัว พระรัตนตรัยอยู่ภายใน เมื่อเข้าถึงได้ก็มีความสุข มีความเบิกบาน สดชื่นอยู่ภายใน

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะต้องพยายามให้เข้าถึงพระธรรมกายนี้ให้ได้ จึงจะได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์

๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://www.dhamma01.com/book/91
ต้นฉบับ หนังสือ เล่ม 2 สิ่งที่ต้องแสวงหา คือ พระรัตนตรัยภายใน

กลับสู่
สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *