ชี้ขุมทรัพย์เปิดประตูสู่ที่สุดแห่งธรรม

8. ชี้ขุมทรัพย์เปิดประตูสู่ที่สุดแห่งธรรม

นั่งหลับตาทำสมาธิกัน เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กันให้ดีทุกรูปนะ ให้ใจหยุดนิ่ง หยุดลงไปตรงกลางของกลางกายของเราให้ติดเป็นนิสัยไปเลย เราเป็นนักบวชเป็นพระเป็นเณร เป้าหมาย คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง ลูกพระลูกเณรทุกรูปก็ได้ศึกษากันมาอย่างดีแล้วว่า การจะทำพระนิพพานให้แจ้งนั้นต้องเดินตามเส้นทางสายกลาง เริ่มต้นตั้งแต่วิธีการปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ กับการเข้าถึงเส้นทางสายกลางที่แท้จริง

วิธีปฏิบัติที่ให้เป็นกลาง คือ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ในระดับต้น หมายถึง ไม่ทรมานตน และไม่เพลิดเพลินในกามสุข ในระดับกลาง หมายถึง การวางใจไม่ให้ตึงเกินไป ไม่ให้หย่อนเกินไป ในระดับละเอียด หมายถึง ใจที่หยุดนิ่งสนิทอยู่ภายในกลางกายของเราอย่างแท้จริง เมื่อใจหยุดในระดับละเอียดแล้ว นั่นแหละจึงจะเห็นหนทางสายกลางที่จะไปสู่อายตนนิพพานอยู่ตรงกลางกายฐานที่ ๗ ตั้งแต่เห็นดวงธรรมเบื้องต้น เป็นดวงใสบริสุทธิ์เรื่อยไปตามลำดับ ถึงกายในกายและถึงพระธรรมกายในที่สุด นี่คือหน้าที่ของนักบวชที่บวชมาแล้วมีความตั้งใจที่จะแสวงหาหนทางไปสู่อายตนนิพพาน จะต้องทำอย่างนี้ให้เป็นนิสัย เป็นชีวิตจิตวิญญาณของเรา

เพราะฉะนั้น เมื่อจะรับฟังธรรมก็ดี โอวาทก็ดี หรือจะปฏิบัติภารกิจอันใดก็ดี ใจจะต้องจรดหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงกลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลาจึงจะเป็นนักบวชที่สมบูรณ์ ในวาระนี้เป็นวาระที่เราจะได้มาระลึกนึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อม ๆ กัน ก็จะต้องเอาใจของเราหยุดไปตรงกลางกาย ฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นทางที่เราจะเข้าถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในตัวของเรา คือ พระธรรมกาย จนกระทั่งเข้าไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว มีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน

ดังนั้นให้ทำใจให้หยุดในหยุด หยุดให้นิ่ง ๆ ให้ใจใส ใจสบาย ให้ใจปราศจากอุปกิเลสทั้งมวล เดินตามรอยเท้าพ่อ วันนี้เป็นวันมหาปวารณา คือ วันที่เราทั้งหลายได้มาประชุมพร้อมกัน เพื่อที่จะช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตคืออายตนนิพพาน

การปวารณากันในวันนี้ก็คือการเป็นกัลยาณมิตรให้แก่กันนั่นเอง ลูกทุกรูปที่เข้ามาบวช ไม่ว่าจะบวชในระยะสั้น บวชไปเรื่อย ๆ หรือปฏิญาณตนบวชตลอดชีวิตก็ตาม เราต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า วัตถุประสงค์ของการบวช คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง เพราะฉะนั้นจะบวชระยะสั้น หรือบวชระยะยาวไม่สำคัญ สำคัญว่าต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ ดังนั้นเมื่อเรามีความตั้งใจอย่างนี้ก็ให้ทำความบริสุทธิ์กายวาจาใจ ของเราตามพระธรรมวินัยให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ทำตามแบบแผนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงปฏิบัติ พระองค์ทรงปฏิบัติอย่างไร เราปฏิบัติอย่างนั้น ซึ่งจะมีผลทำให้พระองค์เป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น พระองค์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ เราก็จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้

ข้อวัตรปฏิบัติอะไรต่าง ๆ ที่มีในพระธรรมวินัยนั้นล้วนเป็นไปเพื่อไปสู่อายตนนิพพานทั้งสิ้น ตักเตือนกัน ไม่ใช่ของง่าย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็เหลือเพียงพระธรรมคำสอนเป็นสิ่งแทนพระองค์ อันเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่จะนำเราไปสู่อายตนนิพพาน เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาปวารณากันเอาไว้ โดยมีหลักว่า หากได้ยิน ได้เห็น หรือสงสัยว่า เพื่อนสหธรรมมิกท่านใดประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็ให้อาศัยจิตที่ประกอบด้วยความปรารถนาดีชี้ขุมทรัพย์ให้ซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะได้รู้ตัว แล้วกลับเนื้อกลับตัวตั้งหลักชีวิตเสียใหม่ ตั้งใจใหม่ที่จะทำสิ่งที่พลาดพลั้งกันไป ที่จะออกนอกลู่นอกทางนอกพระธรรมวินัย จะพลัดจากหนทางที่จะไปสู่เป้าหมาย ให้กลับเข้าสู่ร่องรอยของอายตนนิพพาน

การจะตักเตือนกันนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะปกติของปุถุชนที่ยังมีกิเลสหนาปัญญาหยาบ แม้จะเป็นนักบวชก็ตาม ย่อมมีความขัดเคือง ขุ่นเคืองในใจ เพราะไม่อยากให้ใครเตือน ยังทำใจยอมรับไม่ค่อยได้ ความขุ่นมัวความโกรธนี้เองจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน และอาจจะกลายไปเป็นการผูกเวรผูกพยาบาทกันต่อไปในอนาคตได้ เพราะฉะนั้นการเตือนกันไม่ใช่ของง่าย แม้จะรักและปรารถนาดีต่อเพื่อนสหธรรมมิกมากเพียงใดก็ตาม พระพุทธองค์จึงให้มีการปวารณาซึ่งกันและกัน โดยไม่นำเอาอาวุโสภันเตมาเป็นอุปสรรคในการเป็นกัลยาณมิตร

ดังนั้นจึงได้มีการปวารณากันระหว่างผู้ใหญ่ต่อผู้น้อย และระหว่างผู้น้อยต่อผู้ใหญ่ว่า ถ้าหากได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่า ข้าพเจ้าประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็ขอให้อาศัยจิตที่ประกอบไปด้วยความปรารถนาดีแนะนำตักเตือนข้าพเจ้า เมื่อทราบแล้วก็จะได้พิจารณาดูว่าสิ่งที่เตือนมานั้นเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นจริงอย่างนั้นก็ให้อภัย เพราะผู้ที่ไปบอก ไปแนะนำ หรือผู้ที่เห็นก็ดี สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นจริงอาจไม่ตรงกัน เมื่อไม่ตรงกันก็อาจจะเกิดการเข้าใจผิดก็ให้อภัยกัน แต่ถ้าหากว่าถูกต้อง ก็จะไม่ขุ่นมัว ไม่โกรธ และจะกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ตั้งใจเป็นนักบวชที่ดี เพื่อจะไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน คือ อายตนนิพพาน อันเป็นวัตถุประสงค์ของการทำมหาปวารณา

สมัยพุทธกาลท่านปฏิบัติกันมาอย่างนี้ จึงส่งผลให้มีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานกันมากมาย เพราะว่านอกจากตัวเราคอยอบรมตนเองแล้วยังมีหมู่เพื่อนสหธรรมมิกคอยเป็นเงาตามตัวดูแลเราด้วย เพราะฉะนั้นกิเลสจึงไม่ได้ช่องที่จะแทรกแซงมาตามอายตนะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไม่มีโอกาสได้ช่องเข้ามา ใจก็หยุดนิ่งอยู่ภายใน เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ภายในได้ก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ สมความปรารถนาที่ได้ตั้งใจมาเป็นนักบวช ปลีกวิเวก

ในสมัยพุทธกาลนั้นเมื่อต่างปวารณากันแล้ว ก็จะแยกย้ายกันไปแสวงหาที่วิเวก ที่รื่นรมย์ เหมาะสมในการบำเพ็ญสมณธรรม ไปตามป่าเขา ตามห้วยหนองคลองบึง ตามถ้ำ เรือนว่าง โคนไม้ ที่แจ้ง ลอมฟาง สถานที่ต่าง ๆ เหล่านั้นเพื่อปลีกตัวไปแสวงหาที่วิเวก มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ยินดีปัจจัยตามมีตามได้คือ ให้มีภาระน้อยที่สุด ภาระมีเพียงบริขารกับขันธ์ ๕ เท่านั้นที่จะต้องคอยดูแล เอาไว้สำหรับเป็นอุปกรณ์ในการแสวงหาหนทางพระนิพพาน

เพราะฉะนั้นในสมัยนั้นจึงมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานกันมากมาย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบทอดมาถึงพวกเราก็ยังเป็นประโยชน์ต่อพวกเราอยู่ ไม่จำกัดกาลสมัย ตราบใดที่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีอยู่ในโลกก็อาจเรียกได้ว่า ยังเป็นสมัยพุทธกาล เพราะคำสอนเป็นตัวแทนของพระองค์ นั่นก็หมายถึงว่า ถ้าเราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ถูกต้องตามพระธรรมวินัยในสมัยนี้ เราก็มีโอกาสได้บรรลุมรรคผลนิพพานเช่นเดียวกับในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ล้าสมัย

เมื่อเราได้มาปวารณาซึ่งกันและกันแล้ว หลวงพ่อไม่อยากให้เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติที่รักษาสืบทอดกันมา แต่อยากให้เป็นไปตามพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการบวชของเรา เมื่อต่างปวารณาซึ่งกันและกันแล้ว จงทำสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ และทำสิ่งนี้ให้จริงจังขึ้นมา นับจากวันนี้เป็นต้นไป ภายหลังจากที่เราปวารณากันแล้ว ถ้าหากใครได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเราประพฤติไม่ถูกต้อง หรือถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่ชาวโลกเขาติเตียนเป็นโลกวัชชะ เราก็จะอาศัยความปรารถนาดีแนะนำตักเตือนซึ่งกันและกัน ดูจังหวะ เวลา และอารมณ์ มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะแนะนำตักเตือนว่า ขอให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง และมีใจที่ปรารถนาดีจริง ๆ เวลาจะตักเตือนกันก็ขอให้ดูเวลาและอารมณ์ เวลาเขาว่างไหม อารมณ์เขาพร้อมไหม ถ้าเวลาและอารมณ์เขาพร้อม ก็ตักเตือนได้เลย คำตักเตือนก็มีวิธีการอยู่ เตือนด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยความจริง เป็นถ้อยคำที่ไพเราะ รับฟังง่ายเหมือนเอาสำลีที่ประชีร้อยครั้งแล้วมายอนหูอย่างนั้น เป็นถ้อยคำเหมือนเพชรพลอยที่พรั่งพรูผ่านแก้วหูเข้าไปสู่ดวงใจของผู้ฟังได้ ให้กลั่นกรองถ้อยคำ เรียบเรียงถ้อยคำที่จะไปแนะนำตักเตือนกันด้วยความปรารถนาดี ดูจังหวะเวลาและอารมณ์ให้ดีให้พร้อม

ยกเว้นว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ถ้าปล่อยไว้แล้วจะเสียหายอย่างมากมายต่อส่วนรวมหรือส่วนตัวก็ดี นี่ถือเป็นกรณียกเว้น ไม่ต้องดูเวลาและอารมณ์ สามารถเตือนกันตอนนั้นได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม ให้เราปรับปรุงถ้อยคำให้ดี ให้เป็นถ้อยคำที่ใคร ๆ ก็พร้อมที่จะรับฟังได้ เหมือนน้ำตาลที่เคลือบเม็ดยาอย่างนั้น แต่ในประเด็นนี้มักจะมีเป็นส่วนน้อย เพราะว่าพวกเราทุกคนต่างใฝ่ดีกันอยู่แล้ว

สิ่งที่จะนำมาซึ่งความเสียหายโดยเจตนานั้นไม่มี ส่วนใหญ่มักจะโดยไม่เจตนา เมื่อได้รับการชี้ขุมทรัพย์ ส่วนผู้ที่ได้รับคำตักเตือนก็ต้องตั้งสติให้ดี เอาใจตั้งอยู่ตรงกลาง รับฟังด้วยใจที่เป็นปกติ อย่าให้ขุ่นมัว เพราะผู้ที่ตักเตือนนั้น ถ้าให้เขาเลือกระหว่างอยู่เฉย ๆ กับมาเตือนเรา เขาอยากอยู่เฉย ๆ มากกว่า จะได้ไม่มีใครโกรธ ผูกพยาบาท จองเวร เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจหัวใจเขาด้วย เราจะต้องตั้งสติรับฟังด้วยใจที่เป็นปกติ ไม่ขุ่นมัว ให้เขาพูดแนะนำตักเตือนให้ครบถ้วนบริบูรณ์เสียก่อน ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยนั้นมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ถ้าหากสามารถคุย
กันได้ เราจะชี้แจงก็ชี้แจงด้วยใจที่เป็นปกติ ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน

แต่ถ้าหากว่า ไม่อาจจะห้ามความขุ่นมัวได้ เพราะเรายังเป็นปุถุชนอยู่บางครั้งทำงานมาเหนื่อย ๆ พักผ่อนก็น้อย สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงแถมหิวกระหาย หรือมีอารมณ์คั่งค้างจากสิ่งแวดล้อมจากคนสัตว์ สิ่งของ เวลาที่มารับฟังคำแนะนำตักเตือน แม้จะเป็นความปรารถนาดีก็ตาม มันอดขุ่นมัวไม่ได้ ถ้าห้ามตรงนี้ไม่ได้ก็ให้นิ่ง ๆ ห้ามปากเอาไว้อย่าให้มันล้นออกมา

ถ้าห้ามดวงตาที่แข็งกระด้างจะจ้องหน้ากันไม่ได้ก็ให้หลับตานิ่ง ๆ เฉย ๆ เสียสักพักหนึ่ง อารมณ์นั้นก็จะผ่านไป เดี๋ยวใจเราก็เป็นปกติ ถ้าเป็นจริงก็แก้ตัวเสียใหม่ แก้ไขตัวเราให้มันดีขึ้น ถ้าไม่จริงก็ดูจังหวะที่จะชี้แจงด้วยใจที่เป็นปกติ ด้วยความรักความปรารถนาดี ถ้าทำกันได้อย่างนี้ มหาปวารณาในวันนี้บรรลุวัตถุประสงค์ คือ สร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในวัดของเรา กับเพื่อนสหธรรมิก

มหาปวารณา มีความจำเป็นและสำคัญยิ่ง งานสร้างบารมีของเรานั้นเป็นงานใหญ่ จะทำไปตามลำพังไม่ได้ ต้องช่วยกันทำกันไปเป็นทีม แต่ละคนมีความรู้ความสามารถอย่างไรก็นำมาทุ่มเทชีวิตจิตใจมาช่วยกัน โดยยึดหลักว่า ดูภารกิจที่ตัวได้รับมอบหมายและภาพรวมที่จะกระทบถึง ให้มองทั้งสองสิ่ง เมื่องานใหญ่ต้องทำไปเป็นทีม และทุกคนจะต้องช่วยกันทำ การปวารณาจึงมีความจำเป็น และสำคัญอย่างมากทีเดียว และเพราะสำคัญมากนี่เอง จึงไม่เรียกปวารณาธรรมดาแต่ เรียกว่า “มหาปวารณา” มีความหมายว่า การปวารณาที่ยิ่งใหญ่ เพื่องานสร้างบารมีไปสู่อายตนนิพพานและไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ดังนั้นเมื่อปวารณากันแล้ว ก็ขออย่าให้ผิดเป้าหมายของการปวารณา ต้องทำให้บรรลุวัตถุประสงค์

ถ้าเป็นไปได้อย่างนี้ หลวงพ่อว่าเราจะมีความสุขในชีวิตของนักบวช เราจะไม่เร่าร้อนแบบชาวโลกทั้งหลาย เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบการสัมผัส ใจกระทบธรรมารมณ์ มันก็จะทำให้เรา
ไม่เร่าร้อน กระสับกระส่าย ทุรนทุรายจนกระทั่งอยู่ในเพศของนักบวชไม่ได้

มหาปวารณาจึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง พรรษาที่ผ่านไปพร้อมกับคุณธรรมที่เพิ่มขึ้น มหาปวารณาครั้งนี้ พรรษาของเราก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งพรรษา ให้หมั่นพิจารณาสำรวจตัวของเราเองว่า พรรษาที่เพิ่มขึ้นนั้น คุณธรรมได้เพิ่มพูนตามจำนวนพรรษาหรือเปล่า ส่วนบุญบารมีนั้นเพิ่มอยู่แล้ว เพราะเราทำความดีกันสม่ำเสมอ แต่ภูมิธรรมในตัวของเราโดยเฉพาะการเข้าถึงธรรมกาย ที่จะทำให้เราเป็นพระทั้งภายในและภายนอกสมบูรณ์มากน้อยเพียงไร หรือเป้าหมายของเราที่จะศึกษาวิชชาธรรมกาย เราได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้วหรือยัง ตัวเราเองจะทราบดีว่า คุณธรรมของเราไปถึงตรงไหนแล้ว หนึ่งพรรษาที่ผ่านมานั้น เราได้มีความตั้งใจกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าพรรษาว่า เราจะอาศัยพรรษานี้ซึ่งเป็นฤดูกาลที่เหมาะสม ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่อบอ้าวเกินไป ประพฤติปฏิบัติธรรมกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัว ถึงสรณะภายใน และเพื่อศึกษาวิชชาธรรมกาย เราได้ไปถึง ณ จุดตรงนั้นแล้วหรือยัง ทำจริงจังอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นพรรษาหรือเปล่า

วันนี้เรารู้ตัวของเราเพราะผลที่ปรากฏออกมาเป็นเครื่องยืนยันว่า เราประกอบเหตุได้ดีมากน้อยเพียงใด หลวงพ่อไม่จำเป็นที่จะต้องถามเรียงตัวบุคคล ของท่านใดท่านนั้นรู้ตัวของท่านเอง ตั้งหลักใหม่วันนี้ ยังไม่สาย ถ้าสมมติว่าเราตั้งใจจริงตั้งแต่วันแรกที่เข้าพรรษา แต่ท่ามกลางพรรษานั้นมีภารกิจมากมาย ซึ่งเป็นเหตุให้เราปล่อยปละละเลยพลาดพลั้งเผอเรอ ปฏิบัติธรรมได้ไม่เต็มที่อย่างที่เราตั้งใจ เพราะผลมันปรากฏออกมาว่า เรายังไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของความตั้งใจนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ให้ตั้งหลักเสียใหม่ วันนี้วันมหาปวารณาขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ยังจำพรรษาอยู่อีกหนึ่งวัน ออกพรรษาคือวันพรุ่งนี้ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมกันให้เต็มที่ ออกพรรษามีเวลายาวนานมากกว่าเข้าพรรษา ก็ตั้งหลักใจเสียใหม่ว่า ภายในพรรษานั้นเรายังทำไม่จริงจัง ออกพรรษานี้ตั้งแต่วันนี้ เราจะตั้งใจปฏิบัติธรรมะ เอาให้เข้าถึงฝั่งของพระธรรมกายให้ได้ เข้าถึงฝั่งของวิชชาธรรมกายให้ได้ ตั้งใจเสียใหม่ ออกพรรษาแล้วเราก็ตั้งใจทำธรรมะไปพร้อมกันกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้ลูกพระลูกเณรทั้งหลายได้ใช้วันเวลาแห่งชีวิตให้เป็นประโยชน์ วันนี้เป็นวันของเรา แต่วันพรุ่งนี้ยังไม่แน่ เพราะฉะนั้นทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้เป็นพระเณรที่สมบูรณ์ โดยคิดว่า ถ้าหากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะไปสู่ปรโลก คิดอย่างนี้จะทำให้เราไม่ประมาท และมีกำลังใจในการสร้างความดี

ในที่สุดนี้หลวงพ่อขออาราธนาบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์อำนาจสิทธิเฉียบขาดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน บารมีธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งปวง บารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (สด จนฺทสโร) พระมงคลเทพมุนี ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และบารมีธรรมของคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง จงมารวมอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้เป็นดวงบุญที่มีความบริสุทธิ์สว่างโพลงยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ให้ดวงบุญนี้มีอานุภาพกลั่นกายวาจาใจธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ให้มีดวงตาเห็นธรรมเข้าถึงพระธรรมกาย ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายอย่างสะดวกสบายอย่างง่ายดาย ให้มีบุญพิเศษที่จะเป็นยอดกัลยาณมิตรแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้เข้าถึงธรรมอย่างสะดวกสบายอย่างง่ายดาย จงทุกประการเทอญ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา
ชีวิตสมณะ..ฉบับมหาปวารณา
www.dhamma01.com/book/10
๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *