มงคลที่ ๓๓ เห็นอริยสัจ – พระปิณโฑลภารทวาชเถระ ตอนที่ ๓

มงคลที่ ๓๓ เห็นอริยสัจ – พระปิณโฑลภารทวาชเถระ ตอนที่ ๓

เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมีและทำพระนิพพานให้แจ้ง เส้นทางสายนี้เป็นทางสายเดิมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ผ่านไปแล้ว การสร้างบารมีที่เรากำลังทำกันอยู่นี้ ไม่ใช่ของใหม่สำหรับเรา เราเคยสร้างกันมาอย่างนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำซํ้าแล้วซํ้าอีก เกิดมาชาตินี้ก็มาสร้างบารมีกันอีก จนกระทั่งหมดอายุขัย

ตายไปแล้ว ก็ยังต้องไปทำงานที่แท้จริงกันต่อในสุคติภพ และเมื่อถึงเวลาอันควรก็ลงมาสร้างบารมีกันต่อ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ ที่สุดแห่งธรรม เพราะถ้าเรายังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม เราก็ยังมีอิสระไม่เต็มที่ ยังถูกกิเลสอาสวะครอบงำ พญามารก็ยังบังคับบัญชาให้ได้รับทุกข์ทรมานตลอดเวลา

มีพุทธศาสนสุภาษิตที่ตรัสไว้ใน มหาสาโรปมสูตร ว่า

อิติ โข ภิกฺขเว นยิทํ พฺรหฺมจริยํ ลาภสกฺการสิโลกานิสํสํ น สีลสมฺปทานิสํสํ น สมาธิสมฺปทานิสํสํ น ญาณทสฺสนานิสํสํ ยา จ โข อยํ ภิกฺขเว อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ เอตทตฺถมิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ เอตํ สารํ เอตํ ปริโยสานํ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภสักการะ และความสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ แต่พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุตติ อันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่นสาร เป็นที่สุด

ชีวิตของสมณะเป็นชีวิตที่สงบมักน้อยสันโดษ อาศัย เพียงปัจจัยสี่ในการดำรงชีพ เป็นชีวิตที่ปลอดจากเครื่องกังวล เป็นอิสระจากการครองเรือน ซึ่งเหมือนเครื่องพันธนาการที่กักขังนักโทษ ฆราวาสเป็นชีวิตที่แสวงหาความบริสุทธิ์ได้ยาก แต่ชีวิตของสมณะนั้น เป็นชีวิตที่เหมาะสำหรับการมุ่งแสวงหาความบริสุทธิ์หลุดพ้น ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ต้องมุ่งแสวงหา บริสุทธิ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ถ้าแสวงหาอย่างนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสมณะที่แท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์สร้างบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็เพื่อมุ่งหน้าแสวงหาความบริสุทธิ์นี้ ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ สรรเสริญเยินยอแบบชาวโลก เหมือนเรื่องของ พระปิณโฑลภารทวาชะ ผู้มีฤทธิ์มาก ที่พระบรมศาสดาทรงห้าม มิให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อลาภสักการะเพียงเล็กน้อย เรื่องมีอยู่ว่า…

* ในสมัยพุทธกาล มีการอวดอ้างของเจ้าลัทธิต่างๆว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าผู้คนในยุคนั้นต่างพากันนับถือพระอรหันต์ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าพระอรหันต์มีหน้าตาเป็นอย่างไร ได้แต่ข่าวลือที่โจษจันกันไปทั่วว่า “มีพระอรหันต์ในสำนักโน้นสำนักนี้” มหาชนต่างหลั่งไหลพากันไปหา นำเครื่องสักการะต่างๆไปมอบให้ โดยไม่รู้ว่าพระอรหันต์จริงๆนั้น ท่านมีการประพฤติปฏิบัติเช่นไร

ต่อมา มีเศรษฐีกรุงราชคฤห์ได้ปุ่มไม้จันทน์แดง ประมาณเท่าหม้อ ท่านเศรษฐีจึงให้ช่างกลึงเป็นรูปบาตร แล้วใส่ในสาแหรก นำขึ้นไปแขวนไว้บนปลายไม้ไผ่ที่เอามาต่อๆกันสูงถึง ๖๐ศอก จากนั้นก็ให้ประกาศว่า “ถ้าพระอรหันต์มีอยู่ในโลกจริง จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป เราพร้อมทั้งบุตรและภรรยาจะขอถึงผู้นั้นเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดไป”

พวกครูทั้งหก คือ ปูรณกัสสปะ อชิตเกสกัมพล นิครนถนาฏบุตร ปกุทธกัจจายนะ มักขลิโคสาล สัญชัยเวลัฏฐบุตร ได้ใช้ให้สานุศิษย์ของตนเข้าไปขอบาตรจากท่านเศรษฐี แต่ท่านเศรษฐีไม่ยอมให้ แม้ว่าอาจารย์เหล่านั้นจะไปขอด้วยตนเองและแกล้งกล่าวว่า “อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ ท่านอย่าได้ทดลองอาตมาเลย” ท่านเศรษฐีก็พูดยืนกรานว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเอง

เมื่อผ่านพ้นไป ๖วันแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีพระอรหันต์หรือผู้มีฤทธิ์ที่ไหน เหาะมาเอาบาตรนี้ไป รุ่งขึ้นของวันที่๗ พระมหาโมคคัลลานเถระ _และ พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านทั้งสองได้ยืนห่มจีวรอยู่บนหินดินดานแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ซึ่งใกล้ๆกับที่พระเถระทั้งสองยืนอยู่นั้นได้มีพวกนักเลงพูดคุยกันว่า “เมื่อก่อน ครูทั้งหกต่างก็พูดอวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์ ท่านราชคฤห์เศรษฐีได้แขวนบาตรไว้ในอากาศแล้วกล่าวว่า ถ้าหากพระอรหันต์มีอยู่ในโลกนี้ ขอให้เหาะมาเอาบาตรนี้ไป นี่ผ่านมาได้ ๗วันแล้ว ยังไม่เห็นมีพระอรหันต์แม้สักรูปเดียว สงสัยว่าพระอรหันต์คงไม่มีในโลก”

พระมหาโมคคัลลานเถระฟังแล้ว ก็กล่าวกับพระปิณโฑลภารทวาชะว่า “อาวุโส ท่านได้ยินหรือเปล่า การพูดกันของนักเลงพวกนี้ แม้จะไม่มีเจตนาร้ายต่อพระพุทธศาสนา แต่ก็ถือว่าเป็นการย่ำยีพระพุทธศาสนา ท่านจงเหาะขึ้นไปนำบาตรนั้นลงมาเถอะ เพื่อลบล้างคำพูดและความเข้าใจผิดของนักเลงพวกนั้นเถิด”

เนื่องจากท่านปิณโฑลภารทวาชะเป็นผู้น้อย ดังนั้นจึงได้ให้เกียรติแก่พระเถระผู้ใหญ่ก่อน จึงกล่าวยกย่องว่า “ท่านมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวง ท่านต่างหากน่าจะเป็นผู้ไปนำบาตรนั้นมา แต่ถ้าท่านไม่ประสงค์จะแสดงฤทธิ์ กระผมก็จะเหาะขึ้นไปนำบาตรนั้นลงมาเอง”

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว พระปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าโลกุตรฌาน มีอภิญญาเป็นบาท แล้วเอาปลายเท้าคีบหินดาดก้อนใหญ่ขนาดประมาณ ๓คาวุตขึ้นไปด้วย พระเถระเหาะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับหินดาด ได้เหาะเวียนไปรอบๆพระนครถึง ๗รอบ

หินดาดนั้น ปรากฏดุจฝาหม้อข้าวสำหรับปิดพระนคร ชาวเมืองเห็นหินดาดลอยอยู่เหนือศีรษะ ต่างพากันวิ่งหนีสับสนอลหม่านไปหมด เพราะกลัวหินนั้นจะตกลงมาทับ ต่างคนต่างก็วิ่งหนีเอาชีวิตรอด บางคนก็หาที่กำบัง เอากระด้งมาบังศีรษะไว้ก็มี บ้างก็หนีไปซ่อนตามสถานที่ต่างๆ หวังจะให้ตนรอดพ้นจากอันตราย

เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะนำหินดาดวนรอบพระนคร ๗รอบ จากนั้นก็โยนแผ่นหินไปไว้ที่เดิม และแสดงตนให้ปรากฏแก่มหาชน มหาชนครั้นพอเห็นเท่านั้น ก็จำท่านได้ พากันร้องว่า “พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราเอง ท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพมากถึงเพียงนี้”

หลังจากที่พระเถระใช้ปลายเท้าเหวี่ยงแผ่นหิน ให้ลอยกลับไปตั้งที่เดิม และเหาะไปยืนอยู่ที่บ้านของท่านเศรษฐี แต่มิได้นำเอาบาตรลงมาด้วย ท่านราชคฤห์เศรษฐีเห็นพระเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว ได้หมอบลงกราบพร้อมกับเรียนว่า “นิมนต์เข้าไปในเรือนเถิด พระคุณเจ้า” จากนั้นก็นิมนต์ให้ท่านนั่งบนอาสนะ สั่งให้คนรับใช้ไปนำเอาบาตรลงมา ใส่อาหารอันประณีตมากมายลงในบาตรจนเต็ม แล้วน้อมเข้าไปถวายพระเถระ

พระเถระเมื่อรับถวายบาตรนั้นแล้ว ก็กลับไปยังวิหาร มหาชนที่ยังไม่ได้เห็นปาฏิหาริย์ ก็ติดตามพระเถระไปจนถึงวิหาร เพื่อขอดูการแสดงฤทธิ์ของท่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเสียงอื้ออึงของมหาชน จึงตรัสถามพระอานนท์ เมื่อทรงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ทรงมีรับสั่งให้เรียกพระปิณโฑลภารทวาชะมาตรัสถาม จากนั้นทรงตำหนิว่า “ดูก่อนภารทวาชะ การกระทำเช่นนั้นของเธอ ไม่เหมาะไม่ควร ความไม่สงบได้เกิดขึ้นเพราะเธอแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุเพียงต้องการได้บาตรไม้จันทน์ สิ่งนั้นไม่ควรเลย” แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนบาตรไม้จันทน์แดง พระพุทธองค์ก็ตรัสสั่งให้เอาไปบด เพื่อทำเป็นเภสัชต่อไป

จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเน้นให้พระภิกษุสงฆ์มุ่งแสวงหาความสงบวิเวก แสวงหาความบริสุทธิ์ เพื่อที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อแจ้งแล้ว จะได้เป็นแสงสว่างต่อไป ไม่ทรงให้หลงใหลในลาภสักการะ ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอก ไม่ใช่สาระแก่นสารที่แท้จริง แก่นสารที่แท้จริง คือ ต้องทำพระนิพพานให้แจ้ง ต้องให้รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต เพราะสิ่งนี้จะเป็นทางมาแห่งความเลื่อมใส ไม่คลอนแคลนในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนิกชน และเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างแท้จริง

ดังนั้น ให้พวกเราตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้ดี เมื่อเราเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายแล้ว ความเป็นผู้มีจิตตานุภาพ มีฤทธิ์มีเดชมีอานุภาพเหล่านี้ ก็จะเกิดขึ้นกับตัวของเราเอง มันเป็นผลพลอยได้จากใจที่หยุดนิ่งอย่างดีแล้ว

* มก. ยมกปาฏิหาริย์ เล่ม ๔๒ หน้า ๒๘๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/4719
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๖

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *