มงคลที่ ๒๖ ฟังธรรมตลอดกาล – ฟังธรรมตามกาล

มงคลที่ ๒๖ ฟังธรรมตลอดกาล – ฟังธรรมตามกาล

เวลาแห่งการเจริญสมาธิภาวนา เป็นเวลาที่มีคุณค่ายิ่ง เพราะเราจะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสัจธรรมนำพาชีวิตให้เข้าถึงความสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ปัจจุบันนี้มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่า เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ชีวิตจึงต้องเวียนวนอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์ เหมือนถูกตรึงด้วยเครื่องพันธนาการ เมื่อใดได้ฟังธรรม และปฏิบัติธรรม ก็จะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต แล้วมุ่งแสวงหาสาระอันแท้จริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวงได้ในที่สุด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทุติยกาลสูตร ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลเวลาที่ทรงคุณค่า อันบุคคลบำเพ็ญโดยชอบ และให้เป็นไปโดยชอบแล้ว ย่อมทำให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ เวลาที่ทรงคุณค่า ๔ อย่างคือ เวลาฟังธรรมตามกาล เวลาสนทนาธรรมตามกาล เวลาทำ ความสงบของใจ และเวลาพิจารณาธรรมให้เกิดความรู้แจ้ง

การฟังธรรมเป็นมงคลอันสูงสุด ทำให้เกิดปัญญาบริสุทธิ์ที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งมวล ทำให้ได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยได้ฟัง ได้ทบทวนความรู้ที่เคยได้ฟังมาแล้ว ทําให้คลายความสงสัยที่มีอยู่ในใจ และผู้ฟังธรรมเป็นประจำ ก็จะมีจิตใจผ่องใส เป็นการเพิ่มพูนสัมมาทิฏฐิให้มีความเห็นถูกต้อง เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อเรื่องบาปบุญนรกสวรรค์ อยากจะทำแต่ความดี ละเว้นจากบาปอกุศล ทั้งหลาย พระพุทธองค์ถึงตรัสเอาไว้ว่า กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การฟังธรรมตามกาลเป็นมงคลอันสูงสุด

นอกจากนี้ ผู้รู้ยังได้กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการฟังธรรมว่า บุคคลใด ได้ฟังพระสัทธรรมในพระศาสนาของพระชินเจ้า จะทำให้ไม่ตกไปสู่ทุคติเลยตลอดแสนกัป ถ้าหากฟังด้วยจิตที่ เลื่อมใส แล้วนำกลับไปพิจารณาไตร่ตรอง จากนั้นก็ลงมือปฏิบัติ อย่างจริงจัง แม้ฟังธรรมเพียงบทเดียว ก็สามารถทำให้บรรลุ มรรคผลนิพพานได้ หรือถ้าหากยังไม่หมดกิเลส ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า

*เหมือนดังเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ เอกธรรม ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะที่มีอายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ก็ระลึกชาติในอดีตว่า ได้ทำบุญอะไรมา ถึงได้บรรลุธรรมตั้งแต่เยาว์วัย ประเภทสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ ปฏิบัติได้สะดวก ตรัสรู้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องลำบากทำความเพียร เหมือนกับภิกษุรูปอื่นๆ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า

ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้เกิดเป็นฤๅษี ผู้มีตบะกล้า สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เหมือนนกบิน มีฤทธิ์มีเดชมีอานุภาพมาก เพราะบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลายาวนาน วันหนึ่งท่านเหาะไปที่ป่า มะเดื่อ เพื่อจะหาผลไม้มาขบฉัน บังเอิญว่าในขณะที่เหาะไป อยู่นั้น เหมือนมีกำแพงหมอกมาขวางกั้น หนทางเบื้องหน้าดู มืดมิดไปหมด อุปมาเหมือนนกที่บินเข้าไปใกล้ภูเขาสูงมหึมา จะบินข้ามภูเขา ก็ไม่ได้ ต้องบินอ้อมอย่างเดียว

มหาฤๅษีสงสัยว่า บริเวณนี้คงจะมีผู้วิเศษกว่าตนอยู่ จึงได้มาขัดขวางหนทางไม่ให้เหาะข้ามไป ท่านก็เลยอยากประลองฤทธิ์ดูว่า ผู้วิเศษท่านนั้นจะสามารถหยุดยั้งท่านได้จริงหรือไม่ แล้วก็แปลงร่างเป็นไอน้ำกลืนเข้ากับบรรยากาศ ล่องลอยไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนผ่านบรรยากาศบริเวณนั้นไปได้ จึงพิจารณาหาสาเหตุว่า ผู้มีอานุภาพที่ไหนมาขัดขวางหนทางของเรา

เมื่อเล็งแลดูด้วยทิพยจักษุก็พบว่า มีสมณะรูปหนึ่งกำลังนั่งแสดงธรรมให้มหาชนฟัง มหาฤๅษีเห็นฉัพพรรณรังสีของผู้มีอานุภาพท่านนั้น สว่างไสวไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ทันทีที่ได้เห็นก็ทราบได้ทันทีว่า บุคคลผู้นี้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นผู้มีอานุภาพมากที่สุดในภพทั้งสาม ท่านเห็นแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ได้เหาะเข้าไปใกล้พระพุทธองค์ แล้วตั้งใจฟังพระสุรเสียงที่พระพุทธองค์กำลังแสดงธรรมเรื่องอนิจจลักขณะว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แม้ได้ยินธรรมะเพียงบทเดียว ก็รู้สึกปลื้มใจชื่นอกชื่นใจ เกิดมหาปีติท่วมท้น เพราะอมตธรรมเพียงบทเดียวมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวง และพระสุรเสียงของพระพุทธองค์ก็ไพเราะเสนาะโสต ชัดเจนแจ่มใส ไม่แหบ ไม่พร่า เสียงก้องกังวาน

ท่านได้จดจำเอาพระดำรัสเรื่องสังขารไม่เที่ยง แล้วก็เหาะอ้อมบริเวณนั้นไปด้วยความเคารพ มีจิตเบิกบานผ่องใส จากนั้นก็นำไปหมั่นพิจารณา พร้อมกับบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าเป็นเวลานาน ครั้นละโลกไปแล้วก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์ที่ฟังธรรมเพียงบทเดียวนั้น ทำให้ท่านเสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนานถึง ๓ หมื่นกัป

ท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสองภพภูมิเท่านั้น คือ เมื่อจุติจากสวรรค์ ก็ได้มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๓๑ ครั้ง จากนั้นก็กลับไปเสวยสุขในเทวโลกอีก ๕๑ ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเป็นเวลายาวนานมาก แล้วได้มาเกิดเป็นพระราชาประเทศราชอีกหลายหมื่นชาติ ที่พิเศษสำหรับท่านอย่างหนึ่งก็คือ แม้จะไปเกิดในเทวโลกหรือเป็นมนุษยโลก ท่านก็สามารถทรงจําบทว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา ได้เป็นอย่างดีไม่เคยลืมเลือนไปจากใจเลย ทำให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

พอมาในภพชาติสุดท้าย ได้เกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี อายุได้เพียง ๗ ขวบ บิดาได้นิมนต์พระมาเทศน์ที่บ้าน ลูกชายก็มานั่งฟังธรรมด้วย พอพระเทศน์ถึงบทว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา เท่านั้น ธรรมสัญญาเก่าของท่านก็เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนาว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา การเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้น ทำให้เกิดสุข ในที่สุดท่านก็สามารถทำใจหยุดนิ่งได้สมบูรณ์ พอพระเทศน์จบ ท่านก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที

นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ เด็กอายุเพียง ๗ ขวบ ฟังธรรมเพียงคาถาบทเดียวก็แทงตลอดเป็นพระอรหันต์ ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เป็นเพราะท่านได้สั่งสมบุญด้วยการฟังธรรมมามาก และบุญอื่นๆ ท่านก็ได้ทําครบถ้วนบริบูรณ์ แต่เหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมอย่างสะดวกสบาย และง่ายดายอย่างนี้ ก็เพราะอานิสงส์ที่เกิดจากการฟังธรรม และปฏิบัติธรรมเป็นหลัก การฟังธรรมยังเป็นบุญใหญ่ที่จะทำให้เราเป็นผู้มีดวงปัญญาสว่างไสว ได้เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ท่ามกลางวัฏสงสาร อันยาวไกล

*มก. เอกธัมมสวนิยเถราปทาน เล่ม ๗๒ หน้า ๔๑

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/3956
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๕

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *