น้อมใจไว้ในพุทธองค์

น้อมใจไว้ในพุทธองค์

หนทางแห่งการสร้างบารมี เป็นเส้นทางที่ยาวไกลและจะต้องอาศัยความเพียรเป็นผู้ไม่ประมาท จึงจะสามารถสร้างบารมีและย่นย่อหนทางในสังสารวัฏให้สั้นเข้ามาได้ ถ้าหากเป็นผู้ที่ประมาทในชีวิตแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้เวลาของการเวียนว่ายตายเกิดนั้นยืดยาวออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า สังสารวัฏของผู้ที่ประมาทอยู่นั้น ยาวไกลเหลือเกิน การที่เราจะเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างสมบูรณ์ได้นั้น ก็ต้องหมั่นนำใจของเรา ให้กลับเข้ามาอยู่ในแหล่งแห่งสติและแหล่งของปัญญา ต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลา สติและปัญญาของเราจะได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์

มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน สกจิตตนิยเถราปทาน ความว่า

“เราได้เป็นพระราชาสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ยินดียิ่งในกรรมของตน นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราโปรยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ ๘๐ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มียศอนันต์ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพุทธบูชานั้น”

การเจริญพุทธานุสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ หมายความว่า มีใจจดจ่ออยู่กับพระพุทธองค์ ทุกวันทุกคืน ทั้งหลับ ตื่น ยืน เดิน นั่งนอน ระลึกนึกถึงพระองค์ท่านอยู่ที่กลางกายอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ได้ชื่อว่า มีพุทธานุสติอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดสำหรับผู้ที่เกิดมาเป็นนักสร้างบารมี จะทำให้เราได้บุญใหญ่ เราเป็นพุทธศาสนิกชนจึงควรหมั่นระลึกนึกถึงพระองค์ท่านเอาไว้ให้ดี

ถ้อยคำที่หลวงพ่อกล่าวข้างต้นนั้น เป็นคำรำพึงของพระอรหันตเถระเจ้า องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่ท่านเคยสร้างบารมีเอาไว้ และได้รับอานิสงส์ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงได้เปล่งอุทานออกมา หลวงพ่ออยากจะนำเรื่องราวเหล่านั้น มาเปิดเผยให้ทุกท่านได้รับทราบ เราจะได้เกิดความเชื่อมั่นว่า บุญเล็กบุญน้อยที่เราตั้งใจสั่งสมเอาไว้ในพระศาสนา โดยมีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ ย่อมเป็นทางมา แห่งผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ไพศาลอย่างไม่มีประมาณทีเดียว

* ชีวประวัติการสร้างบารมีของพระเถระนามว่า สกจิตตนิยเถระเจ้า ภพชาติในอดีต ท่านก็ได้บำเพ็ญบุญ สร้างบุญพอสมควรในแต่ละชาติ แต่ก็ไม่มีบุญใหญ่ๆ ให้ได้สร้าง เพราะบางชาติที่เกิดมาก็ไม่ได้พบเนื้อนาบุญ บางชาติก็มีตกต่ำไปอยู่ในอบายภูมิ ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้หลายภพหลายชาติ เพราะประมาทและไม่มีโอกาสได้พบเจอเนื้อนาบุญ

กลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง ก็เกิดมาในยุคของพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ยุคนั้นก็เป็นยุคที่ธรรมะสว่างไสวไปทั่วชมพูทวีป สรรพสัตว์ทั้งหลายผู้มีบุญเต็มเปี่ยม พอได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างก็ได้รับรสพระธรรม ตามสมควรแก่บุญบารมีของตนเอง ผู้ที่มีบุญเต็มเปี่ยมแล้วก็เป็นพระอรหันต์ บารมีรองๆ ลงไปก็เป็นพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน โคตรภูบุคคลลดหลั่นลงไปตามลำดับ บางท่านก็ไม่ได้คุณวิเศษอะไรเลย แต่ว่าเป็นกัลยาณชน เมื่อฟังธรรมจากพระพุทธองค์แล้ว ก็เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในเนื้อความแห่งธรรม ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้คุณค่าของบุญ และตั้งแต่บัดนั้นมา ก็ได้สั่งสมบุญกับพระศาสนาอย่างเต็มที่เต็มกำลัง

ในยุคนั้น พระเถระได้บังเกิดในช่วงที่พระตถาคตสิ้นพระชนม์ชีพไปแล้ว เหลือเพียงคำสอนที่เหลืออยู่ไว้ให้เหล่าอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา พอท่านเติบโตขึ้น ก็มีโอกาสศึกษาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำให้เกิดความซาบซึ้งในเนื้อความแห่งพระธรรมนั้น บังเกิดความเสียใจว่า น่าเสียดายยิ่งนักที่เรายังไม่ทันได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว นี้เพียงแค่เราได้ศึกษาคำสอนของพระองค์ท่าน ก็ยังทำให้เราเกิดดวงปัญญาแจ่มแจ้ง รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตได้ หากเราได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ ได้ฟังธรรมแล้วไซร้ เราคงมีโอกาสได้บรรลุธรรม ดังเช่นผู้อื่นบ้าง

ก็คิดอย่างนี้ทุกๆ วันทีเดียว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มีอยู่วันหนึ่ง เกิดความคิดขึ้นมาว่า เราควรที่จะดำเนินตามรอยบาทพระพุทธองค์ หมั่นบำเพ็ญเพียรให้สม่ำเสมอ หากเราทำได้อย่างนี้ อาจจะได้บรรลุธรรมดังเช่นพระอริยเจ้าทั้งหลาย แม้ปรารถนาที่จะออกบวชในพระศาสนา แต่ก็ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ ท่านคิดว่า อุปนิสัยเรานั้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาอยู่ในท่ามกลางพระนครซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน หากเราบวชในพระศาสนาเพียงพรรษาแรกแล้วออกไปอยู่เพียงลำพัง พระอุปัชฌาย์ก็คงไม่อนุญาต เอาเถิด เราจะบวชเป็นฤาษีก็แล้วกัน

ท่านได้ออกบวชเป็นฤๅษี เดินทางเข้าไปหิมวันตประเทศมุ่งแสวงหาที่วิเวกน่ารื่นรมย์ จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นป่ารกชัฏ เป็นป่าทึบ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเช่น สีหะ เสือโคร่ง ยักษ์ ผีเสื้อน้ำ ช้างดุ ม้าดุ ครุฑ และงู ได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่า มากไปด้วยเสียงแห่งหมู่นก ทั้งนกดุเหว่า นกการะเวก ส่งเสียงไพเราะกลบไปทั้งป่า ในบรรยากาศอย่างนี้ ฤาษีกลับก็รู้สึกเย็นกายเย็นใจเกิดความสงบใจอย่างประหลาด จึงตัดสินใจว่า จะอยู่อาศัยในที่นี้ เพื่อทำความเพียร

พอหาที่พักได้แล้วก็สร้างอาศรม ทำที่มุงบัง แม้จะบวชเป็นพระฤๅษีแล้วก็ตาม แต่ในใจของท่านนั้น ก็ยังเคารพเลื่อมใสต่อพระศาสดา คิดว่า การที่เรามาอยู่อย่างนี้ ก็เพื่อดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ เราควรที่จะมีใจส่งไปในพระองค์ท่านทุกๆ วันทุกๆ คืน หากเรามีท่านเป็นอารมณ์แล้ว จะทำให้เราอยู่อย่างไม่หวาดสะดุ้งตกใจกลัวต่อภัยต่างๆ จึงได้ก่อเจดีย์ทรายไว้ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระบรมศาสดา

แล้วทุกๆ วัน ฤาษีนั้นจะนำดอกไม้มาสักการะพระเจดีย์ทรายนั้น โดยรำลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำความรู้สึกประหนึ่งว่า ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ บูชาด้วยดอกไม้ป่านานาพันธุ์ เคารพบูชาพระเจดีย์ทรายนั้นราวกับพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ คอยดูแล ปัดกวาดเอาใจใส่พระเจดีย์เหมือนดูแลเอาใจใส่พระบรมสารีริกธาตุทีเดียว ท่านนมัสการอยู่อย่างนี้จนตลอดชีวิต

ขณะที่จะละจากโลก ในใจท่านนั้นก็มีภาพพระพุทธเจ้าอยู่ภายในด้วยความเคารพเลื่อมใสที่ไม่คลอนแคลน ด้วยอานุภาพแห่งบุญกรรมนั้น ท่านจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเกิดเป็นเทวดาเสวยสวรรค์สมบัติ ก็ได้ทิพยสมบัติที่ละเอียดประณีตล่วงเทวาทั้งหลาย เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้มหาสมบัติที่มากมายเกินมนุษย์ทั้งปวง ได้บังเกิดพระเจ้าจักรพรรดิ ที่สมบูรณ์ด้วยจักรพรรดิสมบัติอันเลิศนับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียว

ในพุทธุปบาทกาลนี้ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลเศรษฐี ด้วยอานุภาพบุญเก่า ทำให้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ เพียบพร้อมด้วยศรัทธาในพระศาสนา จึงออกบวช บวชได้ไม่นานท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ท่านระลึกชาติไปดูบุพกรรมของตน พอเห็นแล้วก็เกิดปีติโสมนัสจึงเปล่งอุทานว่า

” ผลแห่งบุญที่เกิดขึ้น เพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์นี้ น่าอัศจรรย์เหลือเกิน เพียงเราก่อเจดีย์ทรายโปรยดอกไม้ต่างๆ กราบไหว้พระสถูป ดุจถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่นี้เราก็ได้เป็นพระราชาสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราโปรยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ ๘๐ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มียศยิ่งใหญ่ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ ภพชาตินี้ เราถึงที่สุดแล้ว เราสมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖”

เราจะเห็นว่า การน้อมใจไปในพระพุทธเจ้า แล้วกระทำการบูชาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นทางมาแห่งมหากุศลทีเดียว เป็นทางมาแห่งความสุขและมหาสมบัติทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย การที่เราส่งใจไปในพระพุทธเจ้าบ่อยๆ สม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง และต้องทำให้เป็นปกตินิสัย เราจะได้รับอานิสงส์ใหญ่กระทั่งได้บรรลุมรรคผลนิพพาน วิธีการทำอย่างง่ายๆ ก็คือ ต้องหมั่นนึกถึงองค์พระบ่อยๆ จะเป็นพระปฏิมากรองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ นึกน้อมให้ท่านมาสิงสถิตอยู่ในกลางกาย แต่ดีที่สุดให้เป็นพระแก้วใสใจจะได้บริสุทธิ์ได้เร็ว ให้เห็นท่านชัดใสแจ่มอยู่ในกลางกาย ทำได้อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า เคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อย่างแท้จริง ให้หมั่นทำกันให้ได้อย่างนี้

* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๒๔๑

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระรัตนตรัย
https://dmc.tv/a18075

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *