รู้แจ้งด้วยธรรมกาย

รู้แจ้งด้วยธรรมกาย

ทุกๆ ท่านล้วนเกิดมาก็เพื่อจะมาสร้างบารมี ด้วยการฝึกฝนอบรมตนเอง ทั้งกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ เพื่อมุ่งเข้าไปสู่ความรู้แจ้งภายใน มุ่งขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นออกไปจากใจ โดยอาศัยการทำสมาธิภาวนา ส่วนการศึกษาวิชาความรู้ในทางโลก ก็เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ ให้ดำเนินชีวิตไปได้โดยสะดวกราบรื่นเท่านั้น แต่การศึกษาทางธรรมเป็นเรื่องหลักที่สำคัญที่สุดของชีวิต เพราะจะทำให้เราได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต คือการทำจิตให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไปสู่พระนิพพาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทวยตานุปัสสนาสูตร ว่า
“ชนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้แจ้ง พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้ ความมืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลายผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่เห็นอยู่ ส่วนนิพพานเป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่ใกล้ ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว แล่นไปตามกระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ ไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลายใครหนอย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ดีแล้ว พระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้โดยชอบ ย่อมปรินิพพาน”

อายตนนิพพานนั้นมีอยู่ ผู้ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน นี่คือความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ถ้าหากเราปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสอนไว้ ก็ย่อมเข้าถึงพระนิพพานได้ เพราะพระนิพพานมีอยู่ ไม่ใช่เปล่าสูญ ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์”

ถ้าหากปฏิบัติไม่ถูกวิธี แม้จะมีความรู้มากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถรู้แจ้งในพระนิพพานได้ เพราะพระนิพพานเป็นสภาวะที่รู้เห็นได้ยาก เหมือนดังเรื่องของพระวังคีสะ ผู้รู้ “ฉวสีสมนต์” ซึ่งสามารถรู้ได้ว่าคนที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน จนเป็นผู้มีชื่อเสียงมาก แต่ไม่รู้ที่ไปของพระอรหันต์ว่าท่านไปเกิดที่ใด

* ในสมัยที่ท่านเป็นฆราวาส เป็นผู้แตกฉานในไตรเพทและทำสมาธิได้ดีมาก นอกจากนี้ท่านได้ศึกษา“ฉวสีสมนต์”คือเพียงแค่เอาเล็บเคาะกะโหลกศีรษะคนตายเท่านั้น ก็สามารถรู้ได้ว่าบุคคลนั้นไปเกิดในภพภูมิไหน พวกพราหมณ์รู้ว่า การอาศัยวังคีสะคนนี้จะเป็นทางให้มีทรัพย์สมบัติมาเลี้ยงชีพได้ จึงพาวังคีสะเที่ยวตระเวนไปตามเมืองต่างๆ แล้วป่าวประกาศบอกมหาชนว่า “ถ้าหากใครต้องการรู้ว่า ญาติพี่น้องของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว ไปเกิดที่ไหน ก็ให้นำกะโหลกศีรษะมา แล้วเราจะบอกให้”

เมื่อมหาชนได้ยินดังนั้น จึงนำเอากะโหลกศีรษะของญาติที่ตายไปแล้ว มาให้วังคีสะพิสูจน์ แม้กระทั่งพระราชา มหาอำมาตย์ หรือพวกเศรษฐีทั้งหลาย ต่างพากันมาหาท่าน  เพราะอยากรู้ว่าญาติที่ละโลกไปแล้ว ไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน แล้วได้ให้ทรัพย์สินเงินทองมากมายเป็นรางวัล จนพวกพราหมณ์กลายเป็นผู้มั่งคั่งขึ้นมาเพราะอาศัยวังคีสะ และพวกพราหมณ์ก็ได้พาวังคีสะไปทั่วชมพูทวีป

วันหนึ่ง วังคีสะได้เดินทางมาถึงกรุงสาวัตถี พักอยู่ในที่ไม่ไกลจากวัดพระเชตวัน ได้ยินเสียงมหาชนกล่าวสรรเสริญคุณของพระบรมศาสดาว่า “เป็นพระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง ไม่มีใครยิ่งกว่าหรือเทียบเท่าได้ พระองค์ทรงเป็นบรมครูของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย” จึงอยากจะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง เพราะวังคีสะรู้ตัวเองว่า ถึงจะได้รับคำยกย่องว่าเป็นบัณฑิต แต่ก็ยังไม่ได้หมดกิเลสเหมือนดังพระพุทธเจ้า

ก่อนที่จะไป วังคีสะได้ถูกพวกพราหมณ์กล่าวทัดทานไว้ว่า “วังคีสะ ท่านอย่าไปเฝ้าพระสมณโคดมเลย เพราะใครก็ตามเมื่อเห็นพระองค์แล้ว พระองค์จะกลับใจบุคคลนั้นด้วยมายากล ทำให้เป็นผู้มีสติวิปลาส ท่านอย่าได้ไปเลย” วังคีสะไม่เชื่อถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้น จึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไปเฝ้าพระบรมศาสดาให้ได้

เมื่อไปถึงวัดพระเชตวันแล้ว พระบรมศาสดาตรัสถามท่านว่า “วังคีสะ เธอรู้ศิลปะอะไรบ้าง” วังคีสะทูลตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ฉวสีสมนต์” “แล้วมนต์นั้น มีประโยชน์อย่างไรบ้าง” วังคีสะตอบว่า “ถ้าร่ายมนต์นี้แล้ว เอาเล็บเคาะศีรษะของคนแม้ตายไปแล้วถึง ๓ ปี ก็รู้ที่เขาเกิดพระเจ้าข้า”

พระบรมศาสดาทรงให้นำเอาศีรษะของคนที่เกิดในนรก ของคนที่เกิดเป็นมนุษย์ ของคนที่เกิดในเทวโลก และของผู้ที่ปรินิพพานแล้วมาอย่างละหนึ่งศีรษะ วังคีสะร่ายมนต์แล้วเคาะศีรษะอันแรก กราบทูลว่า “ท่านผู้เจริญ บุคคลนี้ไปบังเกิดในนรก” แล้วตรัสถามถึงศีรษะอื่นๆ ตามลำดับ วังคีสะก็ตอบว่า “บุคคลนี้ไปเกิดเป็นมนุษย์ บุคคลนี้ไปเกิดในเทวโลก พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาทรงประทานสาธุการแก่เขาทุกครั้งไป

ครั้นถึงศีรษะของผู้ที่ปรินิพพานไปแล้ว เขาไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่เห็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของบุคคลนั้น พระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า “วังคีสะ ท่านไม่เห็นหรือ” เขาทูลว่า “ขอข้าพระองค์ได้พิจารณาดูอีกครั้งหนึ่ง” แล้วก็พลิกกะโหลกศีรษะกลับไปกลับมา ร่ายมนต์อยู่ตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นที่ไปเกิดของบุคคลผู้นี้ เมื่อพยายามอย่างเต็มที่แล้ว จึงยอมจำนนแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ที่ไปของบุคคลนี้ ถ้าพระองค์ทรงทราบ ขอจงตรัสบอกเถิด” พระศาสดาตรัสว่า “วังคีสะ เรารู้จักที่ไปของผู้เป็นเจ้าของศีรษะนี้  แม้ยิ่งกว่านี้ก็รู้” แล้วตรัสพระภาษิตว่า

“ผู้ใดรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้นั้น ผู้ไม่ข้องแล้ว ไปดีแล้ว รู้แล้วว่าเป็นพราหมณ์ ส่วนเทพ คนธรรพ์ และมนุษย์ ไม่ทราบคติของผู้สิ้นอาสวะแล้ว เราเรียกผู้สิ้นอาสวะนั้นว่า เป็นพระอรหันต์”

วังคีสะได้กราบทูลว่า “พระองค์ผู้เจริญ เรามาแลกเปลี่ยนวิชากันเถิด ข้าพระองค์จะถวายมนต์ที่ข้าพระองค์รู้แด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกมนต์นั้นแก่ข้าพระองค์ด้วย” พระศาสดาตรัสว่า “วังคีสะ เราจะไม่แลกมนต์กับเธอ เราจะให้อย่างเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเราจะให้มนต์นี้ ต้องให้แก่ผู้เป็นบรรพชิตเท่านั้น”

วังคีสะคิดว่าถ้าเราได้เรียนรู้มนต์นี้แล้ว ก็จะทำให้เราเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งชมพูทวีป จึงตัดสินใจขอบวช เนื่องจากท่านเป็นผู้มีปกติไม่อิ่มในการแสวงหาความรู้ จึงได้ตั้งใจเรียนพุทธมนต์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องอาการ ๓๒ เนื่องจากท่านเป็นผู้มีปัญญามาก จึงเห็นความเสื่อมสิ้นไปของสังขารอย่างรวดเร็ว สามารถยกจิตขึ้นสู่ไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนา แล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้รู้แจ้งทั้งในภพและนอกภพ และได้รับการยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีปฏิภาณฉลาดในการผูกบทคาถา

เพราะฉะนั้นความรู้อันสูงสุดก็มีอยู่ในพระพุทธศาสนานี่แหละ เป็นความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง เห็นเพราะมีธรรมจักษุเกิดขึ้น รู้ได้เพราะอาศัยญาณทัสสนะของธรรมกาย ซึ่งเป็นความรู้ในเรื่องโลกุตระหรือเรื่องที่พ้นโลก พ้นจากภพสามไปแล้ว จะอาศัยการวิเคราะห์หรืออาศัยหลักทางตรรกวิทยาไม่ได้เลย แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยของผู้มีรู้มีญาณ ที่มีใจหยุดนิ่งดีแล้ว ซึ่งต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งหลาย

วิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิชชาที่ยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ ยิ่งรู้ก็ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งมีความสุข เป็นความรู้คู่ความสุขและความบริสุทธิ์ ถ้าทำใจให้หยุดนิ่งได้ เราก็สามารถศึกษาได้ เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในวิสัยที่เราเรียนรู้ได้ ขอเพียงเราได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง สักวันหนึ่งก็จะรู้เห็นอย่างที่ผู้รู้ทั้งหลายได้รู้ได้เห็นกันมาแล้ว

ดังนั้น อย่าได้เกียจคร้านกันเลย เพราะวันเวลาที่ผ่านไปได้พาเอาชีวิตของเราไปด้วย แล้วนำความเสื่อมความแก่ชรามาให้เราแทน เราจึงควรจะใช้เวลาที่มีอยู่นี้สร้างบารมีให้เต็มที่ ถ้าจะแก่ก็ให้เป็นแบบแก่บุญแก่บารมี มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจเพิ่มขึ้น มีใจหยุดนิ่งละเอียดยิ่งขึ้น จนกระทั่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายตลอดเวลา ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ชีวิตจึงจะมีคุณค่าสูงสุด

* มก. เล่ม ๓๒ หน้า ๔๑๔

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/17973
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระรัตนตรัย

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “รู้แจ้งด้วยธรรมกาย”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญ สาธุๆ สาธุครับ
    🏵️🌼💐🌸🏵️💮🌷💮🏵️🌸💐🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *