รอยพระบาทริมฝั่งนัมมทานที

รอยพระบาทริมฝั่งนัมมทานที

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าถึงความเป็นพุทธภายใน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัต ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดสิ้นกิเลสอาสวะ เป็นธาตุธรรมที่มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ จึงเป็นทักขิไณยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ ผู้มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผลบุญอันเลิศย่อมบังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น และบุญนั้นจะยังตามส่งผลข้ามภพข้ามชาติไป จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเลย

มีวาระพระบาลีใน กุมมาสปิณฑชาดกว่า
“บุญอันล้ำเลิศย่อมเจริญแก่ชนทั้งหลาย ผู้เลื่อมใสแล้วในบุคคลผู้เลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ ความสุข และกำลังอันเลิศก็เจริญ ผู้มีปัญญาให้ของอันเลิศ ตั้งมั่นแล้วในธรรมอันเลิศ เป็นภูตหรือเทวดาก็ตาม เป็นมนุษย์ก็ตาม ย่อมเข้าถึงความเป็นเลิศ บันเทิงใจอยู่ นี้เป็นขุมทรัพย์ที่อำนวยสมบัติทุกอย่าง ทั้งแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเอกบุรุษ อุดมเลิศไปด้วยวิชชาและจรณะ เป็นบุคคลผู้ประเสริฐที่สุดในภพสาม ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณที่ไม่มีศาสดาใดจะยิ่งกว่า หรือแม้เสมอเหมือนก็ไม่มี พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งโลก และเทวโลกพร้อมทั้งพรหมโลก ทรงมองเห็นโลกธาตุทั้งหมดในข่ายพระญาณ อานุภาพของพระพุทธองค์มีมากมายเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนจะนึกคิดด้นเดา ที่เรียกว่าอจินไตย

เพราะฉะนั้น เราจึงต้องตระหนักถึงความเป็นผู้มีโชคดีของเรา ที่เราได้มีศรัทธาเป็นสัมมาทิฏฐิ ให้ปลื้มปีติดีใจว่า เราได้ยึดบุคคลผู้เลิศที่สุดเป็นหลักของชีวิตถูกต้องแล้ว เพราะท่านเป็นทั้งที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุด เป็นแบบอย่างในการสร้างบุญบารมีของเรา เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ อายตนนิพพาน เมื่อเราบูชาพระพุทธองค์ผู้เลิศ แม้จะทรงมีพระชนม2ชีพอยู่หรือว่าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว อานิสงส์ผลบุญก็เหมือนกัน เราจะได้บุญอย่างเกินควรเกินคาด เป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย

ดังนั้น การที่เราสอดส่องใจไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่งใจแล่นไปในพระรัตนตรัย คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ จึงเป็นการส่งใจไปในสิ่งที่ประเสริฐที่สุด จะทำให้เราได้เข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐ และหลุดพ้นตามพระพุทธองค์ไปด้วย ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล

* ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ในเวลาใกล้รุ่งทรงเข้านิโรธสมาบัติและแผ่ข่ายพระญาณตรวจตราไปตลอดหมื่นโลกธาตุ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ผู้มีบุญ ได้เห็นดาบสชื่อสัจจพันธะเข้ามาในข่ายพระญาณ สัจจพันธดาบส เป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า สั่งสมบุญมาดีแล้วพร้อมที่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ได้พระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรก็จะต้องพลัดตกไปในมหานรก เสวยทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนาน เพราะการยึดถือผิดๆ อีกทั้งยังสอนคนอื่นให้หลงผิดตามอีกด้วย

เมื่อทรงเห็นด้วยพุทธจักษุเช่นนั้นแล้ว ก็ตรัสเรียกพระอานนท์เถระพลางรับสั่งว่า “อานนท์ เราจะไปแคว้นสุนาปรันตะ พร้อมด้วยภิกษุ ๔๙๙ รูป” พระอานนท์ได้นำพุทธดำรัสไปบอกแก่ภิกษุขีณาสพ เมื่อชาววานิชคามได้ยินว่า พระบรมศาสดาจักเสด็จมา จึงทำมณฑปที่กลางหมู่บ้าน และตระเตรียมภัตตาหารหวานคาวด้วยความปีติเบิกบานใจยิ่งนัก

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชำระพระวรกายแต่เช้าตรู่ และนั่งเข้านิโรธสมาบัติ ขณะนั้นเอง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ ได้แสดงอาการร้อนขึ้น ท้าวสักกะรู้ได้ทันทีว่า พระบรมศาสดาจะเสด็จไปแคว้นสุนาปรันตะ จึงตรัสเรียก วิสสุกรรมเทพบุตร ให้ไปเตรียมสถานที่ประมาณ ๓๐๐ โยชน์ อีกทั้งให้เนรมิตเรือนยอด ๕๐๐ หลัง ประดิษฐานเตรียมไว้ที่ยอดซุ้มประตูพระเชตวันมหาวิหาร

วิสสุกรรมเทพบุตรได้จัดการตามเทวบัญชา เรือนยอดของพระผู้มีพระภาคเจ้ามี ๔ มุข ของพระอัครสาวก ๒ มุข นอกนั้นมีมุขเดียว พระศาสดาเสด็จเข้าไปในเรือนยอดพร้อมด้วยพระอรหันตสาวก ๔๙๙ องค์ โดยมีเรือนยอดว่างอยู่หลังหนึ่ง จากนั้นปราสาททั้ง ๕๐๐ หลัง ได้ลอยละลิ่วไปในอากาศ ไปถึงสัจจพันธบรรพต

ครั้นพระบรมศาสดาเห็นดาบสแล้ว จึงได้เหาะลงไปแสดงธรรมโปรดดาบส เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระดาบสได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา และได้รับการอุปสมบทแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงบาตร และจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ และเหาะเข้าไปสู่เรือนยอดหลังที่ว่าง

พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ องค์ที่อยู่ในเรือนยอดเสด็จไปวานิชคาม  เมื่อถึงที่หมายแล้ว ได้เสด็จดำเนินเข้าไปในหมู่บ้านตามปกติ เมื่อมหาชนเห็นภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มาถึง ต่างกราบอาราธนาให้เข้าไปพักที่มณฑป และช่วยกันถวายทานอย่างเต็มที่เต็มกำลัง จากนั้นได้สมาทานองค์อุโบสถ พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในที่นั้น ๗ ราตรี เพื่อทรงแสดงธรรม และอนุเคราะห์มหาชน ให้เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคลที่สมบูรณ์ ทำให้ผู้มีบุญได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันมากมาย หลังจากนั้นพระพุทธองค์ได้เสด็จไปที่ฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งมี พญานาคนัมมทา อาศัยอยู่ใต้บาดาล

เมื่อพญานาคราชรู้การเสด็จมาของพระบรมศาสดา ก็ปีติยินดีรีบแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม สวมใส่อาภรณ์งดงามประดุจเทพบุตรบนสวรรค์ มาทำการต้อนรับพระพุทธองค์ และนำเสด็จเข้าสู่นาคพิภพ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพญานาค และเหล่านาคบริวาร ให้รักษาอุโบสถศีล และให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จากนั้นพระพุทธองค์เตรียมจะเสด็จออกจากนาคพิภพ พญานาคทูลอ้อนวอนว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงประทานสิ่งที่ควรสละแก่ข้าพระองค์สักอย่างด้วยเถิด สิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ จะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย”

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานจิตพลางแสดงเจดีย์ คือ รอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งตามปกติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีพระฉวีวรรณละเอียด สถานที่ที่ทรงเหยียบย่ำไป เป็นเหมือนสถานที่ที่รองรับปุยนุ่น รอยพระบาทยากที่จะปรากฏให้ใครเห็น เหมือนรอยเท้าของม้าสินธพที่มีฝีเท้าเร็วดุจลม มีกำลังเร็วเหยียบลงบนใบบัว น้ำก็ไม่กระเพื่อม  เพราะฉะนั้น รอยพระบาทของพระพุทธองค์จะไม่ปรากฏทั่วไป แต่ถ้าพระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจิตไว้ รอยพระบาทก็จะตั้งอยู่อย่างนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์

เมื่อมหาชนทั้งหลายเห็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ต่างเกิดความเคารพเลื่อมใสมาก พากันสักการบูชา และจะไม่เดินเหยียบทับหรือก้าวข้ามรอยนั้น เพราะถือว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์ อีกประการหนึ่ง หากมีพุทธประสงค์จะแสดงรอยพระบาทแก่ผู้มีบุญคนใดคนหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ ผู้นั้นจะเห็นรอยพระบาทของพระพุทธองค์เป็นการเฉพาะคน รอยพระบาทนั้นแม้สัตว์ป่ามีช้าง เป็นต้น ก็ไม่สามารถจะเหยียบย่ำให้หายไปได้ แม้มหาเมฆหรือห่าฝนใหญ่จะตกลงมาชะล้าง ก็ไม่สามารถที่จะลบรอยพระบาทนั้นได้ นี่เป็นพุทธานุภาพที่เป็นอจินไตย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เจดีย์ คือ รอยพระบาท ที่พระองค์ทรงอธิษฐานให้ประดิษฐาน อยู่ที่ลุ่มน้ำนัมมทานทีตลอดหนึ่งกัลป์ จึงเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ควรแก่การเคารพสักการะ การที่บ้านเรามีประเพณีลอยกระทง ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ก็เป็นสัญญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ที่เราจะได้ลอยบาปออกจากใจ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเรานึกให้ละลายไปในแม่น้ำ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสิ่งที่ดีงามที่บริสุทธิ์ ในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชน ควรปรารภเหตุนี้ด้วยการชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยนึกถึงพระรัตนตรัย ทำใจให้หยุดนิ่ง จุดประทีปในกระทงบูชาพระรัตนตรัย ไม่ใช่ลอยกระทงเพื่อความสนุกสนานกันเฉยๆ อย่างนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร เวลาลอยกระทงอาจจะนึกว่า เราได้ถวายเครื่องสักการบูชาเพื่อบูชาเจดีย์ คือ รอยพระบาทที่ลุ่มน้ำนัมมทานั้นก็ได้ ลอยไปก็นึกอธิษฐานให้กิเลสอาสวะหลุดลอยไปจากใจของเราด้วย อย่างนี้เรียกว่าทำถูกหลักวิชชา ได้ทั้งบุญได้ทั้งความบันเทิงใจ และได้อานิสงส์ใหญ่ ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยจิตอันเลื่อมใส ทำให้ถูกหลักอย่างนี้กันทุกคน

* มก. อรรถกถาปุณณสูตร เล่ม ๒๘ หน้า ๑๒๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/8141
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “รอยพระบาทริมฝั่งนัมมทานที”

  1. 🌟น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌸💮🌺🌼🌷🌟🌷🌼🌺💮🌸🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *