มหาบุรุษ อัครบุรุษแห่งโลก

มหาบุรุษ อัครบุรุษแห่งโลก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นต้นแบบของยอดนักสร้างบารมี ที่สร้างบารมีในทุกเวลา ทุกสถานที่ จะกี่ภพกี่ชาติพระองค์ก็มุ่งสร้างบารมีโดยไม่มีข้อแม้ ข้ออ้าง และเงื่อนไข เป็นผู้ไม่ว่างเว้นจากการสร้างบารมี ทำให้มีความสมบูรณ์ พร้อมทั้งโลกียทรัพย์ และอริยทรัพย์ สมบูรณ์ด้วยรูปกายที่ได้ลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการพร้อมทั้งอนุพยัญชนะ ๘๐ ที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลก และได้ตรัสรู้ธรรมกายอรหัต อันเป็นอมตะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราทั้งหลายจึงควรดำเนินตามรอยบาทของพระศาสดา ให้เป็นผู้บริบูรณ์ไปด้วยสมบัติทั้งภายใน และภายนอก คือ สร้างบารมีกันอย่างเต็มที่ และหาโอกาสหมั่นฝึกฝนใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะเข้าถึงฝั่งแห่งนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุขติดตามพระองค์ไปด้วย

มีวาระพระบาลีใน อัปปมาทวรรคว่า
“บรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งที่เป็นสัตว์ ๒ เท้า  ๔ เท้า มีเท้ามาก เท้าน้อย หรือไม่มีเท้าก็ตาม เป็นเทวา พรหม อรูปพรหมก็ดี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น”

พระบรมศาสดาของเรานั้น สมัยที่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างบารมี เพื่อนำตน และหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นสังสารวัฏ ท่านมุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นจากทุกข์อย่างเดียว ใจท่านไม่เหมือนคนธรรมดา แม้บางภพพลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ท่านไม่ย่อท้อ ไม่ท้อแท้ในโชคชะตาชีวิต มุ่งพัฒนาชีวิตจิตใจของตนให้สูงขึ้นตลอดเวลา เพราะความสูงส่งของชีวิตอยู่ที่จิตใจที่ดีงาม ท่านฝึกฝนใจให้เข้มแข็งเป็นปกติ เพราะพระโพธิสัตว์ไม่เคยมีความเพียรที่ย่อหย่อน  เมื่อตั้งใจจะลงมือทำสิ่งใดแล้ว ก็ทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันเรื่อยมา ทำให้เข้าถึงความเป็นเลิศในที่ทุกสถาน ครั้นเกิดมาในภพชาตินี้ ก็มีความเป็นเลิศในทุกด้าน

หากพระพุทธองค์ไม่เสด็จออกผนวช  ตามตำรับตำราของมหาปุริสลักษณะ ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองทวีปทั้งสี่ เพราะกำลังบุญของพระองค์มีมาก แต่พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า พระเจ้าจักรพรรดิก็เป็นมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว อย่างมากก็แนะนำให้มหาชนดำรงอยู่ในศีล ๕ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ พระองค์จึงเปลี่ยนที่จะมาเป็นพระธรรมราชา ผู้จะนำพาสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ ข้ามสู่ฝั่งพระนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข

* มีอยู่สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปตามชนบท พร้อมด้วยหมู่ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ทรงโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ ให้บรรลุธรรมาภิสมัยกันมากมายนับไม่ถ้วน มีชฎิลคนหนึ่งซึ่งเป็นนักบวชนอกศาสนา ชื่อว่าเกณิยะ ได้ยินชื่อเสียงของพระบรมศาสดาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง อีกทั้งทรงสอนหมู่สัตว์ทั้งมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายปานนั้น นับเป็นความโชคดียิ่งนัก

เมื่อได้เข้าไปฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ ทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงตั้งใจจะถวายทานกับหมู่สงฆ์ทั้งหมด ๑,๒๕๐ รูป ท่านได้กลับไปชักชวนหมู่ญาติพร้อมทั้งอุปัฏฐากของท่าน ให้ช่วยกันเตรียมภัตตาหารเพื่อถวายหมู่สงฆ์ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ฝ่าย เสลพราหมณ์ เห็นชาวบ้านกำลังช่วยเกณิยชฎิล ทำงานอย่างขะมักเขม้น บางพวกขุดเตา บางพวกผ่าฟืน บางพวกล้างภาชนะ บางพวกปูลาดอาสนะ เหมือนกำลังเตรียมต้อนรับพระราชา จึงได้ไต่ถามความเป็นมาเป็นไป

ทันทีที่รู้ว่าจะต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์ขนลุกชูชันเลยทีเดียว เพราะคำว่า พุทโธ เป็นคำที่สรรพสัตว์ทั้งหลายหาฟังได้ยาก ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าตามหลักของพราหมณ์แล้ว ต้องได้ลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ พระมหาบุรุษเมื่อบังเกิดขึ้นในโลก จะเป็นผู้มีคติเป็น ๒ เท่านั้น คือ ถ้าอยู่ครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต มีพระราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ มีจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว และแก้วมณี หากเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เสลพราหมณ์ปรารถนาได้พบผู้ที่ปฏิญาณตนว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ท่านชักชวนลูกศิษย์ ๓๐๐ คน ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อไปถึงแล้ว ได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านสังเกตเห็นครบทุกอย่าง เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก และพระชิวหาใหญ่ จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้วาระจิตของพราหมณ์ จึงได้บันดาลอิทธาภิสังขาร ให้เสลพราหมณ์เห็นพระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณ คือ หูทั้งสองกลับไปมาได้ สอดเข้าช่องพระนาสิก คือ จมูกก็ได้ ทรงแผ่ปิดทั่วมณฑลพระนลาฏ คือ หน้าผาก ก็ได้ แม้เสลพราหมณ์ได้เห็นลักษณะมหาบุรุษครบทั้ง ๓๒ ประการแล้ว ก็เก็บความเลื่อมใสไว้ในใจลึกๆ ยังไม่กล้าที่จะยอมรับพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้เลิศในโลก พราหมณ์จึงกล่าวชมเชยพระพุทธองค์ เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ตามที่เคยได้ยินวิธีนี้มาจากพราหมณ์ผู้เฒ่า

“พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระวรกายบริบูรณ์ มีพระรัศมีรุ่งเรือง มีพระฉวีวรรณดั่งทองคำ มหาปุริสลักษณะอันเป็นเครื่องแตกต่างจากสามัญชน มีอยู่ในพระวรกายของพระองค์ผู้เป็นนรสุชาติครบถ้วน พระองค์มีพระเนตรผ่องใส มีพระพักตร์งาม มีพระวรกายตรงดังกายพรหม สง่างามในท่ามกลางหมู่สมณะ เหมือนพระอาทิตย์ไพโรจน์ฉะนั้น พระองค์มีคุณสมบัติอันสูงสุดถึงเพียงนี้ ทำไมจึงมาเป็นสมณะ พระองค์ควรจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประเสริฐ เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงครอบครองราชสมบัติเล่า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “เสลพราหมณ์ เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระธรรมราชา ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเราในโลกนี้ และเทวโลก“ พระพุทธองค์ทรงอุปมาว่า “พระราชาองค์อื่นทรงปกครองแผ่นดินร้อยโยชน์บ้าง พันโยชน์บ้าง พระเจ้าจักรพรรดิก็ทรงปกครองได้ไกลที่สุด มีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต แต่พระตถาคตปกครองโดยมิได้มีขอบเขตจำกัด เพราะเป็นธรรมราชา ปกครองโลกธาตุมากมาย โดยส่วนขวางตั้งแต่ภวัคคพรหมลงมาถึงอเวจีเป็นที่สุด ตถาคตเป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะไม่มีใครๆ มีส่วนเปรียบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และด้วยวิมุตติญาณทัสสนะของเรา ตถาคตได้หมุนล้อธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ทรงแนะนำให้หมู่สัตว์ได้ดื่มด่ำธรรมรสอันยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นวิมุตติรส คือ รสแห่งความหลุดพ้น เข้าถึงฝั่งแห่งอมตมหานิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข“

พราหมณ์ได้ฟังแล้ว ก็ยังไม่หายสงสัย ได้ทูลถามว่า “พระองค์ได้ตรัสรู้อะไร จึงปฏิญญาว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ” พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “พราหมณ์ ตถาคตตรัสรู้อริยสัจสี่ สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เรารู้ยิ่งแล้ว สิ่งที่ควรละ เราละได้แล้ว สิ่งที่ควรทำให้แจ้ง เราก็ทำให้แจ้งแล้ว สิ่งที่ควรเจริญ เราเจริญแล้ว  เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า พราหมณ์ ท่านจงกำจัดความสงสัยในเรา จงน้อมใจเชื่อเถิด การได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก พราหมณ์ เราเป็นผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นผู้ประเสริฐสุด ย่ำยีมาร และเสนามารได้แล้ว จึงมีแต่ความสุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปนเลย“

พราหมณ์ได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว บังเกิดความเลื่อมใสทั้งในรูปกายที่ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ และเลื่อมใสในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง จึงชวนมาณพทั้ง ๓๐๐ คน ออกบวชในพระพุทธศาสนา  เมื่อบวชแล้วต่างตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำ ในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์กันหมดทุกรูป

เราจะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้เลิศเช่นนี้ ทรงใช้ธรรมาวุธปราบผู้ที่ปราบได้ยาก เพราะทรงปราบกิเลสในพระทัยของพระองค์ได้อย่างสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ พวกเราทั้งหลายนับว่าเป็นผู้มีโชค ที่มาได้ยินคำสอนของพระบรมศาสดา รู้ว่าการขจัดกิเลสอาสวะเป็นหน้าที่หลักของการเกิดมา จึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต หมั่นหาโอกาสนั่งธรรมะ เพื่อกลั่นกาย วาจา ใจ ของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นประจำ จนกระทั่งเข้าไปพบพระธรรมกายภายใน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ชีวิตของเราจะมีแต่ความสุขในที่ทุกสถาน  เพราะฉะนั้น ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้ได้ทุกวัน และเราจะสมปรารถนากันทุกๆ คน

* มก. เสลสูตร เล่ม ๒๑ หน้า ๒๘๔

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/7983
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “มหาบุรุษ อัครบุรุษแห่งโลก”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌺🌸💮🌼🌷🌷🌼💮🌸🌺🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *