มหาสมัยสูตรครั้งที่ 4 (ตอนพระพุทธเนรมิต)

มหาสมัยสูตรครั้งที่ ๔

การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ เราเกิดมาในภพชาติหนึ่งต่างมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสวงหาความบริสุทธิ์ ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะด้วยการสร้างบารมี ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  ซึ่งเป็นต้นทางที่จะดำเนินจิตเข้าไปสู่ภายใน เป็นทางรอดทางเดียว ที่จะเอาชนะกิเลสอาสวะทั้งหลายไปสู่อายตนนิพพานได้  ดังนั้น ควรที่เราจะดำเนินจิตของเราให้เข้าไปสู่เส้นทางสายกลางภายใน ให้เข้าไปถึงพระธรรมกายให้ได้ การที่จะเข้าถึงพระธรรมกายได้ เราต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งให้ถูกวิธีจึงจะสมปรารถนา

มีเนื้อความแห่งพระบาลีใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ
สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลิตฺโต
สพฺพญฺชโห ตณฺหกฺขเย วิมุตฺโต
สยํ อภิญฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํ
เราเป็นผู้ครอบงำธรรมได้ทั้งหมด รู้ธรรมทุกอย่าง ไม่ติดอยู่ในธรรมทั้งปวง ละธรรมอันเป็นไปในภูมิสามได้ทุกอย่าง พ้นแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา รู้เองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า ว่าเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์”

นี้เป็นพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงประกาศความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นบุคคลแรกที่ทำลายอวิชชาได้ ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์นั้น พวกเราทั้งหลายได้ตระหนักกันดีอยู่แล้ว  ครั้งนี้ จะถือโอกาสเล่าให้พวกเราได้ตระหนักถึงความสำคัญในพุทธคุณกันอีกครั้ง

* ภายหลังที่พระบรมศาสดาได้ใช้พระญาณตรวจดูในสากลโลก ทรงมีพระดำริว่า “ในจักรวาลนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถถามตอบปัญหากับเราได้ พระพุทธเจ้าเช่นกับเราเท่านั้น จึงจะทำเช่นนั้นได้ เราพึงถามเองและก็ตอบเอง จะได้เป็นประโยชน์แก่ผู้มีบุญที่มาประชุมรวมกันในวันนี้ เพื่อเทวดาทั้งหลายจะได้เห็นแจ้งแทงตลอดในธรรม ที่เราปรารถนาจะให้บรรลุ เราจะเนรมิตพระพุทธเนรมิตขึ้นมา”

เมื่อทรงดำริเช่นนั้นทรงเข้าโลกุตรฌานที่มีอภิญญาเป็นบาท และทรงอธิษฐานให้พระพุทธเนรมิตปรากฏขึ้น

เหตุอัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น เหล่าเทวาในที่ประชุมได้มองเห็นแสงสว่างไสวมาแต่ไกล เทวดาแต่ละองค์ก็คิดกันไปต่างๆ นานาว่า วันนี้แปลก ทำไมพวกเราเห็นพระจันทร์ขึ้นถึงสองดวง บางพวกก็พูดว่า ไม่ใช่พระจันทร์ แต่เป็นพระอาทิตย์ขึ้นต่างหาก  เมื่อพุทธเนรมิตเสด็จเข้ามาใกล้ แสงสว่างก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ต่างพากันพูดว่า ไม่ใช่พระอาทิตย์ แต่เป็นวิมานของเทวดา

เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีกก็พูดว่า ไม่ใช่วิมานเทวดา แต่เป็นเทพบุตร  เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีก ก็พูดว่า ไม่ใช่เทพบุตร แต่เป็นมหาพรหม

เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีก ก็เห็นชัด พากันแปลกใจมากๆ เสียงโกลาหลกึกก้องทั่วจักรวาลก็เกิดขึ้น เพราะไม่ใช่มหาพรหม แต่เป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ต่างคิดว่า นับเป็นลาภของพวกเราทั้งหลายแท้ๆ ที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงสองพระองค์ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่แห่งนี้ พวกเทวดาที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ต่างพากันคิดว่า พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่ประชุมเทวดาก็ใหญ่ขนาดนี้แล้ว สองพระองค์จะใหญ่ขนาดไหน

ส่วนเหล่าเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าพากันคิดว่า ในโลกธาตุเดียว ไม่มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งที่เหมือนกับพระองค์ทุกประการ ขณะที่หมู่เทพกำลังแลดูพระพุทธเนรมิตนั่นเอง พระพุทธเนรมิตก็เสด็จมาถึง และประทับนั่งบนพระ ที่นั่งที่เนรมิตไว้ ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และพระรัศมีทั้ง ๖ ซ่านออกจากพระสรีระเหมือนกันทุกประการ

พระรัศมีจากพระผู้มีพระภาคเจ้ากระทบพระวรกายของพระพุทธเนรมิต พระรัศมีจากพระพุทธเนรมิตก็กระทบพระวรกายพระผู้มีพระภาคเจ้า รัศมีเหล่านั้นพุ่งจากพระสรีระของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ไปจรดชั้นอกนิฏฐพรหม แล้วกลับลงมากระทบศีรษะของเหล่าทวยเทพ ไปจรดขอบปากจักรวาล ห้องจักรวาลมีแสงสว่างไสวโชติช่วงเหมือนเรือนพระเจดีย์ที่มีไม้จันทันโค้งถูกแผ่นเงินรึงรัดไว้อย่างสวยงาม เทวดาในหมื่นจักรวาลรวมเป็นกลุ่มในจักรวาลเดียว ได้เข้าไปอยู่ในระหว่างห้องแห่งรัศมีของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์

เมื่อพระพุทธเนรมิตกำลังประทับนั่งอยู่นั้น ได้ตรัสชมเชยการละกิเลสที่โพธิบัลลังก์ของพระทศพล จากนั้นพระพุทธเจ้ากับพระพุทธเนรมิตได้ตรัสถามและแก้ปัญหากันและกัน เทวดาทั้งหลายต่างมีดวงตาเห็นธรรม ในขณะที่พระพุทธเนรมิตกับพระพุทธเจ้าแสดงธรรมนั้น เหล่าเทวดาทั้งปวงพากันตั้งอกตั้งใจฟังกันอย่างดี ทันทีที่สิ้นสุดการแสดงธรรม เหล่าเทวดามากมายต่างได้บรรลุธรรมกันไปตามลำดับ เสียงสาธุการในครั้งนั้นดังกลบไปทั่วจักรวาล นี้เป็นการประชุมเทวดาครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยพุทธกาล

อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันกับเหตุการณ์นี้ เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้มีการสาธยายเผยแผ่พระไตรปิฎกกันแบบปากต่อปาก มีอยู่วัดหนึ่งชื่อวัดโกฏิบรรพต ในวัดนั้นมีพระภิกษุหลายรูปที่ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม มีเทพธิดาองค์หนึ่งอยู่ที่ต้นกากทิงใกล้ประตูถ้ำกากทิง ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ท่องเนื้อความแห่งมหาสมยสูตรภายในถ้ำ เทพธิดาได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบพระสูตร ได้ให้สาธุการด้วยเสียงอันดังกังวานไพเราะ

ภิกษุหนุ่มที่เข้าไปในถ้ำองค์เดียวก็ตกใจ จึงถามว่า “นั่นเสียงใคร” เทพธิดาตอบกลับมาว่า “ดิฉันเป็นเทพธิดา” ภิกษุหนุ่มถามอีกว่า “ทำไมท่านจึงได้ให้สาธุการล่ะ”  เทพธิดาตอบว่า “ครั้งหนึ่งดิฉันได้ฟังพระสูตรนี้ในวันที่พระทศพลประทับนั่งแสดงที่ป่าใหญ่ วันนี้ได้ฟังอีกครั้ง ก็เกิดความปลื้มปีติ พระคุณเจ้าทรงจำได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ทำให้อักษรแม้แต่ตัวเดียวคลาดเคลื่อน จากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้เลย” ภิกษุนั้นถามว่า “เมื่อพระทศพลกำลังแสดงอยู่ ท่านได้ฟังหรือ”

เทพธิดาตอบว่า “ได้มาร่วมฟังด้วย” พระภิกษุนั้นสงสัยจึงถามว่า “เขาว่า เทวดาเข้าประชุมกันมากมาย แล้วท่านฟังอยู่ที่ไหน” เทพธิดาได้เล่าว่า “ดิฉันเป็นเทวดาในป่าใหญ่ มีเทวดาชั้นผู้ใหญ่มากันมากมาย ในชมพูทวีปไม่มีที่ว่างสำหรับดิฉันเลย ดิฉันจึงต้องถอยร่นไปจนถึงตามพปัณณิทวีป ยืนอยู่ริมฝั่งที่ท่าชัมพูโกละ ถึงกระนั้นก็ตาม  เมื่อเทวดาชั้นผู้ใหญ่พากันมาอีก ดิฉันต้องถอยร่นมาโดยลำดับ ได้แช่อยู่ในน้ำลึกถึงคอ ที่หลังหมู่บ้านใหญ่ในโรหณนคร ดิฉันได้ยืนฟังอยู่ในน้ำนั่นแหละ”

พระภิกษุถามว่า “ท่านยืนไกลขนาดนั้น จะเห็นพระศาสดาหรือ” นางตอบว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันรู้สึกได้ว่า พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ที่ป่าใหญ่ และทรงแลดูดิฉันเสมอๆ”

ภิกษุนั้นถามต่อว่า “ในวันนั้นมีเทวดาแสนโกฏิสำเร็จพระอรหัต แล้วท่านล่ะตอนนั้นสำเร็จพระอรหัตหรือยัง” “ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ” “แล้วท่านสำเร็จอนาคามิผลกระมัง” “ไม่หรอกค่ะท่านผู้เจริญ”  “ถ้าอย่างนั้น ท่านคงสำเร็จสกทาคามิผล” นางยังคงตอบว่า “ไม่ค่ะ”

ภิกษุรูปนั้นพูดขึ้นว่า “พวกเทวดาที่สำเร็จมรรคสามนี้นับไม่ได้ ท่านเห็นจะเป็นพระโสดาบันกระมัง” ในวันนั้น เทพธิดาสำเร็จโสดาปัตติผล แต่นางก็ยังรู้สึกอายที่จะตอบ จากนั้นภิกษุหนุ่มได้พูดขึ้นว่า “ท่านช่วยแสดงกายให้อาตมาเห็นได้ไหม” เทพธิดาตอบว่า “จะแสดงทั้งหมดไม่ได้ ดิฉันจะแสดงแค่ข้อนิ้วมือเท่านั้น”

จากนั้น นางได้สอดนิ้วมือเข้ามาในถ้ำทางรูกุญแจ นิ้วมือนั้นมีรัศมีสว่างไสว เหมือนเวลาพระจันทร์พระอาทิตย์ขึ้นเป็นพันๆ ดวง  ก่อนจากไป เทพธิดาได้กล่าวว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านมาถูกทางแล้ว จงอย่าประมาทนะเจ้าคะ” นางไหว้ภิกษุหนุ่มและก็กลับไปยังวิมานของตน

นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าเทวดา ที่มีเทวดาบรรลุธรรมกันมากมาย เราจะเห็นว่า ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกายทิพย์กายพรหม ทุกๆ ท่านต่างปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุด คือ การบรรลุธรรม กำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เพราะการบรรลุธรรมเท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ ชีวิต การที่เราเกิดมาเป็นพุทธสาวก นับเป็นความโชคดีของเรา ควรที่เราจะภาคภูมิใจ ให้ตั้งใจมั่นที่จะปฏิบัติธรรมตามพุทโธวาท  เมื่อเราทำได้อย่างนี้ ชีวิตเราย่อมจะสมปรารถนาทุกๆ คน

* มก. มหาสมัยสูตร เล่ม ๑๔ หน้า ๑๐๐

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/7964
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “มหาสมัยสูตรครั้งที่ 4 (ตอนพระพุทธเนรมิต)”

  1. น้อมกราบสาธุๆ สาธุ อนุโมทามิ
    🏵️🌼🌺🌸💮💮🌸🌺🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *