มหาสมัยสูตรครั้งที่ 3 (ตอนภพมารสะดุ้ง)

มหาสมัยสูตรครั้งที่ ๓ (ตอนภพมารสะดุ้ง)

กว่าพระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ยากแสนยาก จะต้องมีพระบรมโพธิสัตว์ผู้มีใจใหญ่มาบังเกิด และต้องทุ่มเทสร้างบารมีอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก ยอมทำทุกอย่างเพื่อสร้างบารมีให้แก่รอบ จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก  เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว จึงมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นตามมา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เกิดขึ้น การบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย บุคคลใดได้กระทำตามพุทโธวาท ดำรงตนอยู่ในความดีงาม บุคคลนั้นย่อมมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองตลอดไป

มีวาระพระบาลีใน ขุททกนิกายธรรมบท ความว่า
“ตโต มลา มลตรํ        อวิชฺชา ปรมํ มลํ
เอตํ มลํ ปหนฺตฺวาน     นิมฺมลา โหถ ภิกฺขโว
เราจะบอกมลทินอันยิ่งกว่ามลทินนั้น อวิชชาเป็นมลทินอย่างยิ่ง ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย  เมื่อละมลทินนั้นได้แล้ว ย่อมเป็นผู้หมดจด”

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ที่รู้แจ้งโลก พระองค์เป็นบุคคลแรกที่ทำลายอวิชชา เหมือนลูกไก่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นตัวแรก ทรงรู้เห็นโลกสามได้อย่างแจ่มชัด และรู้แจ้งหนทางที่จะกำจัดอวิชชาเหล่านั้นให้หมดไปได้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่มีอยู่ในพระองค์ ทำให้พวกเราได้รับรู้ถึงคำสอนที่ตกทอดมาถึง สามารถทำตนให้บริสุทธิ์ กำจัดกิเลสอาสวะ และอวิชชาความไม่รู้ทั้งหลายให้หมดสิ้นไปได้

* เมื่อคราวที่แล้ว ได้กล่าวถึงรายชื่อของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย ตั้งแต่นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ และผองเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย ที่ได้มาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาด้วยต้องการที่จะขจัดอวิชชาออกจากกมลสันดานของตน  แม้แต่พวกอสูรที่อาศัยในมหาสมุทร ซึ่งถูกพระอินทร์ปราบจนพ่ายแพ้ เมื่อคราวศึกใหญ่ระหว่างเทพกับอสูรก็มาด้วย พวกอสูรตระกูลกาลกัญชา มีกายใหญ่น่ากลัว พวกอสูรตระกูลทานเวฆัส อสูรเวปจิตติ และอสูรสุจิตติปาราท กับนมุจีบุตรของอสูรพลี ๑๐๐ ต่างก็มาแบบแต่งองค์ทรงเครื่อง พากันไปชวนราหุภัทรหรืออสุรินทราหู เพื่อไปสู่ป่าอันเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย

หมู่เทพพวกที่อาศัยอยู่ในน้ำ บนแผ่นดิน พวกเตชะ คือ ไฟ และพวกวายะคือลมก็มา ในหมู่เทพพวกวรุณ พวกวารุณ พวกโสมะ พวกยสสะ หมู่เทพผู้เกิดด้วยเมตตา และกรุณา ผู้มียศก็มา หมู่เทพ ๑๐ เหล่า แบ่งเป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณต่างกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ มุ่งหน้ามาสู่ป่า เทพพวกเวณฑู พวกสหลี พวกโสมะ และพวกยมะทั้ง ๒ พวก เทพที่ดูแลพระจันทร์ คือ จันทรเทพบุตร พวกเทพที่อาศัยสุริยะ มีสุริยเทพบุตรเป็นหัวหน้า พวกเทพทำนักษัตรทั้งหลาย พวกเทพมันทพลาหก รวมถึงท้าวสักกะ ต่างมีใจมุ่งตรงมาเฝ้าพระพุทธองค์

ยังมีเหล่าเทพทั้งหลายอีกมากมาย ที่เอ่ยมาเบื้องต้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้าว่างเปล่าทีเดียว รวมความว่า มากันจนหนาแน่นทั้งจักรวาล ต่างมีความคิดอย่างเดียวกันว่า พวกเราจักเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อฟังพระธรรมอันประเสริฐจากพระองค์ พวกพรหมทั้งหลายก็พากันมา มีสนังกุมารพรหม และติสสพรหม เป็นต้น ที่เราคุ้นชื่อกัน มหาพรหมผู้ใหญ่ที่ปกครองพรหมโลกพันหนึ่งก็มา พวกพรหม ๑๐ องค์ ผู้เป็นอิสระในพรหมโลกพันหนึ่ง และพรหมชื่อหาริตะที่มีบริวารแวดล้อมก็มาในท่ามกลางแห่งพรหมเหล่านั้น

เมื่อมีพวกเทพ และพวกพรหมมากันมากมายเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว ภพของมารเกิดอาการหวั่นไหว เหมือนตนเองถูกตบหน้าอย่างจัง  เมื่อกองทัพมารได้เห็นพวกเทพ และพรหมทั้งหมดนั้น จึงตามพรรคพวกมากันหมดทีเดียว คือ เวลาที่ใครจะทำความดีนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย ภพมารเขาสะดุ้งกันทั้งภพทีเดียว แม่ทัพของฝ่ายมารเห็นอย่างนั้นก็โกรธ จึงสั่งพวกเสนาของตนทันทีว่า พวกท่านจงพากันขัดขวางเทวดาพวกนี้ อย่าปล่อยให้ใครหลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว แม่ทัพมารบังคับเสนามารในที่ประชุมอย่างนี้  เมื่อพูดจบได้เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน ทำเสียงน่ากลัว กึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ทำฟ้าแลบฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างไปทั่ว

ในเวลานั้น แม้ว่าพญามารจะพยายามขัดขวางสักเพียงใด ก็ไม่ทำให้เหล่าเทพ และพรหมหรือนักสร้างบารมีทั้งหลายหวั่นไหวได้ เพราะทุกๆ ท่านมีใจมุ่งตรงต่อพระศาสดา มีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดที่เกาะของใจ จึงไม่หวั่นไหว  เมื่อมารทั้งหลายไม่สามารถขัดขวาง จึงได้แต่เดือดดาล หงุดหงิดโมโหโทโสกัน  เมื่อทำอะไรไม่ได้ กองทัพมารต่างต้องพากันกลับไปยังภพของตนด้วยความผิดหวัง พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทุกอย่าง จึงตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า

“ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อสักครู่กองทัพมารมุ่งหน้ามายังป่านี้ เพื่อขัดขวางการฟังธรรม แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางได้ จึงพากันกลับไปด้วยความเสียใจ พวกท่านจงรู้จักพวกมารไว้ และรู้จักว่าเมื่อบุคคลตั้งใจจะทำความดีอย่างแท้จริง ย่อมไม่มีอะไรมาขัดขวางการทำความดีนั้นได้ หากมีความตั้งใจจริง”

หลวงพ่อขอเล่าย้อนว่า ก่อนที่เทวดา และพรหมจะมาในที่ประชุม ก่อนหน้านั้นพระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ยังไม่บรรลุพระอรหัต แต่หลังจากพระศาสดาตรัสสอนกัมมัฏฐาน ใช้เวลาไม่นานนัก ท่านเหล่านั้นต่างได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันหมด และได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนนั้นพระศาสดาประทับนั่งในที่ที่สงัด ภิกษุที่สำเร็จพระอรหัต จะมีอาการ ๒ อย่าง คือ ๑. เกิดความคิดว่า ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก จะพึงรู้แจ้งแทงตลอดในคุณวิเศษที่เราได้เฉพาะโดยพลันทีเดียว ๒. ท่านไม่ประสงค์จะบอกคุณวิเศษที่ตนได้แล้วแก่ผู้อื่น เหมือนคนที่ได้ขุมทรัพย์ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แต่ท่านเหล่านั้นจะต้องมากราบทูลพระบรมศาสดา

พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์เคยสร้างบุญมาในสมัยของพระบรมศาสดาหลายภพหลายชาติ เช่น เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงบังเกิดในราชวงศ์พระเจ้ามหาสมมตะ เหล่าภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น ก็ได้เกิดในตระกูลพระเจ้ามหาสมมตะ พระโพธิสัตว์ทรงเป็นนักบวช ท่านเหล่านั้นก็เป็นนักบวช พระโพธิสัตว์ทรงสละสมบัติจักรพรรดิที่อยู่ในกำพระหัตถ์เพื่อออกผนวช ท่านเหล่านั้นก็สละเศวตฉัตร ทิ้งราชสมบัติออกบวช ได้สร้างบุญบารมีร่วมมาหลายภพหลายชาติทีเดียว

ในการประชุมของเทพนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวบรวมเอาแต่บรรดาภัพพบุคคลที่ควรจะตรัสรู้ และได้จัดเป็น ๖ เหล่าตามอำนาจจริต ทรงใคร่ครวญถึงธรรมเทศนาอันเป็นที่สบายแก่บุคคลเหล่านั้น โดยทรงดำริว่า พวกเทวดาที่เป็นราคจริต พระองค์ก็แสดงสัมมาปริพพาชนียสูตร สูตรว่าด้วยเรื่องที่พึงเว้นโดยชอบ แสดงกลหวิวาทสูตร สูตรเกี่ยวกับเรื่องทะเลาะวิวาทสำหรับพวกโทสจริต แสดงมหาพยูหสูตร สูตรว่าด้วยพวกมากด้วยความหลงงมงายสำหรับพวกโมหจริต แสดงจูฬพยูหสูตร สูตรว่าด้วยพวกน้อยมีนิสัยคิดไปในทางร้ายทางเสียสำหรับพวกวิตกจริต แสดงตุวัฏฏกปฏิปทาข้อปฏิบัติของนกคุ่ม สำหรับพวกสัทธาจริต แสดงปุราเภทสูตร สูตรว่าด้วยเรื่องเกิดในอนาคตสำหรับพวกพุทธิจริต

เมื่อทรงดำริเช่นนั้นแล้ว พระองค์ดำริต่อไปว่า บริษัททั้งหลาย จะสามารถรู้เนื้อความแห่งธรรมได้โดยวิธีใดด้วยอัธยาศัยของตน ด้วยอัธยาศัยของคนอื่น ด้วยการเกิดเรื่องขึ้น หรือด้วยอำนาจการถาม ทรงรู้ว่า บริษัทพึงรู้ด้วยอำนาจการถาม ทรงดำริอีกว่า จะมีใครหนอที่เป็นผู้รู้อัธยาศัยของทวยเทพ และสามารถถามปัญหาด้วยอำนาจจริตได้ ทรงเห็นว่า ในพวกภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น ไม่มีรูปใดถามปัญหาได้ จากนั้นทรงใช้พระญาณตรวจตราพระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป และพระสาวกชั้นเลิศ ๒ รูป ก็ทรงเห็นว่า แม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะถามปัญหาได้

พระองค์ทรงรำพึงต่อไปว่า ถ้าพึงมีพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสามารถหรือไม่หนอ ทรงรู้ว่า ถึงแม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถถามปัญหากับพระองค์ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงทำอย่างไร ไว้คราวต่อไปจึงจะรู้กัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่น่าศึกษา  เพราะฉะนั้น ให้ทุกๆ ท่านหมั่นเจริญสมาธิภาวนา เราจะได้มาศึกษาธรรมะกันให้เต็มที่

* มก. มหาสมัยสูตร เล่ม ๑๔ หน้า ๙๑, ๑๐๐, ๑๐๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/7948
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพระพุทธคุณ

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “มหาสมัยสูตรครั้งที่ 3 (ตอนภพมารสะดุ้ง)”

  1. น้อมกราบ สาธุๆ สาธุ อนุโมทามิ
    🏵️🌼🌺🌸💮🏵️💮🌸🌺🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *