วิสาขามหาอุบาสิกา (มหาปราสาท)

วิสาขามหาอุบาสิกา (มหาปราสาท)

บนเส้นทางของการสร้างบารมี เพื่อจะก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางคือ อายตนนิพพานนั้น เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคน สัตว์ และสิ่งของ แต่ถ้าหากเราหมั่นตอกยํ้าเป้าหมายให้มั่นคง มีอุดมการณ์ และมโนปณิธานที่ชัดเจน เราจะไม่ไปหลงมัวเมายึดติดในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่หลงใหลในเบญจกามคุณคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ที่มากระทบใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราเหินห่างจากหนทางการสร้างบารมี การปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกฝนอบรมใจของเราให้หยุดให้นิ่ง เป็นวิธีการที่จะกลั่นใจให้ใส สะอาด บริสุทธิ์ ใจที่ผ่องใสจะทำให้เรามองเห็นชีวิตไปตามความเป็นจริง และหากรู้เช่นนี้ เราจะได้ทุ่มเทสร้างบารมีกันอย่างเต็มที่ จนกว่าจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางคือ อายตนนิพพาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน มหาปนาทชาดก ว่า
“ปนาโท นาม โส ราชา      ยสฺส ยูโป สุวณฺณิโย
ติริยํ โสฬสุพฺเพโธ          อุจฺจมาหุ สหสฺสธา
สหสฺสกณฺโฑ สตเคณฺฑุ    ธชาลุ หริตามโย
อนจฺจุ ํ ตตฺถ คนฺธพฺพา     ฉ สหสฺสานิ สตฺตธา

พระเจ้ามหาปนาทนั้นมีปราสาทล้วนแล้วไปด้วยทอง กว้าง ๑๖ ชั่วธนูตก สูง ๑ พันชั่วธนู และปราสาทนั้นมีพื้น ๗ ชั้น ประกอบไปด้วยธง สำเร็จด้วยแก้วมีสีเขียว มีนางฟ้อน ๖ พัน แบ่งออกเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ในปราสาทนั้น”

สิ่งใดก็ตามที่เรียกกันว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะพบเห็นได้ยาก และบังเกิดขึ้นได้ยากในโลก  สิ่งมหัศจรรย์นั้นๆ จะบังเกิดขึ้นมาก็เฉพาะผู้มีบุญบารมีมากเท่านั้น เหมือนดังปราสาททองของพระเจ้ามหาปนาทะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปราสาทสูงถึง ๒๕ โยชน์บังเกิดขึ้นได้ในโลก นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนธรรพ์มาขับร้องเพลงบรรเลงดนตรีให้พระราชาผู้เป็นมนุษย์ ได้ทรงเบิกบานพระทัยตลอดเวลา ปัจจุบันแม้มีการก่อสร้างตึกที่สูงที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับความสูง ๒๕ โยชน์หรือประมาณ ๔๐๐ กิโลเมตรของปราสาททองดังกล่าว กลับเทียบกันไม่ได้เลย และที่สำคัญเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง มหาปราสาททองหลังนี้ ยังได้ผุดขึ้นจากใต้น้ำ ให้มนุษย์ได้พบเห็นกันอีกครั้งหนึ่ง

ปัจจุบันนี้ มหาปราสาทอันยิ่งใหญ่นี้ ไม่ได้อันตรธานหายไปไหน ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์ เพื่อรอคอยผู้มีบุญซึ่งได้สั่งสมบุญไว้ดีแล้วมาบังเกิดขึ้น และครอบครองมหาปราสาทหลังนี้อีกครั้งหนึ่ง มหาปราสาทหลังนี้เกิดขึ้นมาด้วยอานุภาพบุญของใคร และมีความเป็นมาอย่างไร เรามาศึกษากันต่อไป

ครั้งที่แล้ว หลวงพ่อได้เล่าไว้ถึงตอนที่พระนางสุเมธาอัครมเหสีของพระเจ้าสุรุจิ ได้อ้อนวอนท้าวสักกเทวราช เพื่อขอผู้มีบุญมาบังเกิดเป็นโอรส โดยอาศัยบุญของพระนางเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งเป็นบุญที่เกิดจากการให้ทาน รักษาศีล และการเจริญภาวนาอยู่เป็นประจำ

* ครั้นท้าวสักกะได้ฟังเรื่องราวความดีงามที่พระนางอ้างถึงแล้ว ทรงสรรเสริญพระนางว่า คุณที่พระนางกล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น จึงตรัสให้พรว่า “ดูก่อนราชบุตรี ผู้เรืองยศงดงามด้วยคุณธรรม พระราชโอรสผู้เป็นกษัตริย์ สมบูรณ์ด้วยพระชาติ เป็นอภิชาตบุตร รุ่งเรืองด้วยพระอิสริยยศ เป็นธรรมราชาแห่งชนชาววิเทหะ จงอุบัติแก่พระนางเถิด”

พระนางทรงปีติโสมนัสยิ่งนัก ได้ตรัสถามว่า “ท่านผู้มีดวงตาน่ายินดี ทรงผ้าคลุกธุลี สถิตอยู่บนเวหาอันไม่มีสิ่งใดกางกั้น ได้กล่าววาจาน่าจับใจแก่ดิฉัน ท่านเป็นเทวดามาจากสวรรค์ หรือเป็นฤๅษีผู้มีฤทธิ์มาก หรือว่าเป็นใคร ขอท่านจงกล่าวความจริง ให้ดิฉันทราบด้วยเถิด”

ท้าวสักกะตรัสว่า “หมู่เทวดามาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา ย่อมกราบไหว้ท้าวสักกะองค์ใด เราเป็นท้าวสักกะองค์นั้น เสด็จมาแล้วสู่สำนักของเธอ ก็หญิงเหล่าใดในมนุษยโลก เป็นผู้มีปกติประพฤติธรรม มีศีล มีปัญญา บำรุงมารดาบิดา และสามีประดุจเทวดา เทวดาทั้งหลายย่อมมาเยี่ยมเยียนหญิงเช่นนั้น ผู้มีปัญญา และมีกรรมอันบริสุทธิ์

ดูก่อนนางผู้เจริญ ท่านเกิดในราชสกุลนี้ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอันน่าปรารถนา ก็ด้วยผลแห่งสุจริตธรรมที่ท่านประพฤติดีแล้วในปางก่อน นี้แหละเป็นชัยชนะในโลกทั้งสองของท่านคือ การอุบัติในเทวโลก และเกียรติยศในมนุษยโลกนี้ ดูก่อนพระนาง ขอให้ท่านจงมีสุขยั่งยืนนาน จงรักษาธรรมไว้ในตนให้ยั่งยืนเถิด การพบเห็นท่านเป็นการพบเห็นที่น่ายินดียิ่งนักสำหรับเรา เนื่องจากเรายังมีกิจอีกมากที่จะต้องทำในเทวโลก เพราะฉะนั้น เราคงจะต้องอำลาไปก่อน ขอท่านจงอย่าประมาท หมั่นประพฤติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด” จากนั้นท้าวสักกะก็เสด็จจากไป

ครั้นเวลาใกล้รุ่ง นฬการเทพบุตรก็จุติถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนาง พระราชาทรงปลื้มปีติใจยิ่งนัก ที่มเหสีทรงตั้งพระครรภ์แล้ว พระองค์ทรงพระราชทานเครื่องผดุงครรภ์จำนวนมาก อีกทั้งพระราชาจากเมืองต่างๆ ตามหัวเมืองทั้งหลาย ก็ส่งเครื่องบรรณาการมาไม่ขาดสาย เมื่อครบถ้วนกำหนดทศมาส พระนางจึงประสูติพระโอรส พระประยูรญาติทรงขนานพระนามพระโอรสว่า มหาปนาทะ

ชาวเมืองแคว้นอังคะและมคธต่างพากันทิ้งเหรียญกษาปณ์ลงที่ท้องพระลานหลวงคนละ ๑ กษาปณ์ เพื่อให้พระราชารับรู้ว่าขอมีส่วนเป็นค่าน้ำนมของพระลูกเจ้า เหรียญกษาปณ์ได้รวมกันเป็นกองใหญ่โตมโหฬาร แม้พระราชาจะตรัสห้าม ชาวเมืองก็ยังพากันโยนเหรียญลงที่ท้องพระลานหลวง ต่างไม่ยอมรับคืน ครั้นพระกุมารทรงเจริญวัยมาตามลำดับ จวบจนพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระองค์ทรงบรรลุความสำเร็จในศิลปศาตร์ทุกแขนง

พระราชาทรงตรวจดูพระชนมายุของพระโอรสแล้ว ตรัสกับพระเทวีว่าจะสร้างปราสาทอันน่ารื่นรมย์ให้พระโอรส จากนั้นทรงรับสั่งให้หาปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในการดูพื้นที่ ให้ไปหาสถานที่อันเหมาะสม และให้ช่วยกันสร้างปราสาทเพื่อพระโอรส พวกคณาจารย์ผู้ชำนาญในการดูชัยภูมิจากหัวเมืองต่างๆ ทั้งผู้ออกแบบ และผู้ก่อสร้างต่างมาร่วมประชุม ปรึกษาหารือกัน เพื่อจะช่วยกันก่อสร้างปราสาทด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง

ฝ่ายท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อทรงทราบเหตุนั้น ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาเข้าเฝ้า และรับสั่งให้ไปสร้างปราสาทแก้วยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ สูง ๒๕ โยชน์ เพื่อเป็นบรรณาการแก่มหาปนาทะราชกุมาร  วิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวโองการแล้ว เนรมิตกายเป็นนายช่างหนุ่ม เข้าไปหาพวกช่างก่อสร้างซึ่งกำลังปรึกษาหารือกัน นายช่างหนุ่มพูดขึ้นว่า “พวกท่านอย่าได้ลำบากใจกันไปเลย ขอพวกท่านไปรับประทานอาหารให้อิ่มหนำสำราญใจก่อนเถอะ แล้วค่อยมาปรึกษางานกันใหม่” จากนั้นก็เอาท่อนไม้เคาะแผ่นดิน ๓ ครั้ง ด้วยเทวานุภาพ และบุญญานุภาพของพระกุมารมหาปนาทะ ปราสาท ๗ ชั้นก็ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า งามเด่นเป็นสง่าเหมือนทิพยวิมานในทันทีนั้นเอง

สมัยนั้นมหาชนได้ทำมงคล ๓ อย่างคือ มงคลฉลองปราสาท มงคลอภิเษกสมโภชเศวตฉัตร และอาวาหมงคลของพระกุมารมหาปนาทะ ในคราวเดียวกัน ชาวแคว้นทั้งสองต่างพากันมาร่วมงานมงคลอย่างล้นหลาม เพราะไม่เคยเห็นมหาปราสาทที่สวยสง่า สูงตระหง่านเทียมฟ้าอย่างนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น จึงได้มีการฉลองมหาปราสาทยาวนานถึง ๗ ปี พระมหาปนาทะทรงครองราชสมบัติด้วยทศพิธราชธรรม ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ครั้นเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงเสด็จกลับสู่เทวโลก ปราสาททั้งหลังก็จมลงในกระแสแม่น้ำคงคาทันที เพราะไม่มีผู้มีบุญพอที่จะครอบครองหรือเป็นเจ้าของมหาปราสาทนั้นได้

เราจะเห็นว่า สิ่งมหัศจรรย์คู่ควรกับบุคคลมหัศจรรย์เท่านั้น บุคคลมหัศจรรย์คือ บุคคลผู้สั่งสมบุญไว้ดีแล้ว เหมือนอย่างพระเจ้ามหาปนาทะ ทรงสมปรารถนาทั้งในมนุษย์สมบัติและสวรรค์สมบัติ ส่วนชีวิตในปัจจุบันชาตินี้ พระองค์จะอุบัติมาเป็นใคร และจะได้สมบัติยิ่งใหญ่เพียงไร เราคงต้องมาติดตามศึกษากันในครั้งต่อไป ครั้งนี้ก็ให้ทุกท่านรักในการสั่งสมบุญให้มากๆ ถ้าเราอยากพบสิ่งอัศจรรย์ และเป็นเจ้าของสมบัติอัศจรรย์ ก็ต้องทำตัวเราให้เป็นคนอัศจรรย์ ด้วยการสั่งสมบุญกันทุกๆ วัน สร้างมหาทานบารมีให้เต็มที่เต็มกำลัง รักษาศีล และเจริญภาวนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สักวันหนึ่งเราจะสมปรารถนาในทุกสิ่งกันทุกคน

* มก. เล่ม ๖๐ หน้า ๔๓๕

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/17826
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพุทธสาวก-พุทธสาวิกา

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *