วิธีเตรียมตัวตาย (ผู้ใหญ่บ้านอสิพันธกบุตร ทูลถามถึงปัญหาพระพุทธเจ้า)

วิธีเตรียมตัวตาย (ผู้ใหญ่บ้านอสิพันธกบุตร ทูลถามถึงปัญหาพระพุทธเจ้า)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเป็นต้นบุญต้นแบบ เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งอมตมหานิพพานแล้ว ท่านได้เสวยเอกันตบรมสุข สุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์มาเจือปนเลย เพราะท่านได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พวกเราทั้งหลายก็ควรดำเนินตามรอยบาทพระศาสดาและท่านผู้รู้เหล่านั้น จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในสังสารวัฏอีก การฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นหนทางลัดที่สุดสู่อายตนนิพพาน เป็นการเพิ่มเติมความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ขัดเกลากิเลสอาสวะให้เบาบางจนกระทั่งหมดสิ้นไปในที่สุด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหา สีหนาทสูตร ว่า

“ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกจักบังเกิดในหมู่มนุษย์ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกบังเกิดแล้วในหมู่มนุษย์ เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์

ดูก่อนสารีบุตร เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่อันเสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันหนา มีเงาหนาทึบ ลำดับนั้น บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวกระหาย มุ่งมาสู่ต้นไม้นั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนี้ จักมาถึงต้นไม้นี้ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขานั่ง หรือนอนในเงาต้นไม้นั้น เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก แม้ฉันใด

ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ฉันนั้น เหมือนกันแล อย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักบังเกิดในหมู่มนุษย์ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บังเกิดแล้วในหมู่มนุษย์ เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์”

นี่เป็นพุทธวจนะที่ยืนยันเรื่องการไปเกิดมาเกิดของมนุษย์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงรู้แจ้งเห็นจริงด้วยพุทธญาณของพระองค์เอง แต่ถึงแม้พระพุทธองค์จะทรงรู้ชัดถึงการจุติและอุบัติของสรรพสัตว์เหล่านั้น และทรงเห็นกลไกของกฎแห่งกรรม พระองค์ก็ไม่อาจที่จะแก้ไขเรื่องของกฎแห่งกรรมของสัตว์เหล่านั้นได้ ได้แต่ทรงชี้บอกวิธีการปิดอบายและเปิดสวรรค์ นิพพานให้เท่านั้น ที่เรียกว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา คือพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ได้แต่ทรงบอกว่า นี่คือเส้นทางที่จะไปสู่อบายภูมิ ๔ ไม่ควรทำ ควรเว้นเสีย นี่คือทางที่จะให้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทางไปสู่สวรรค์ หรือทางแห่งความหลุดพ้นไปสู่อายตนนิพพาน ควรปฏิบัติและทำให้มาก ส่วนผู้ฟังจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พระพุทธองค์ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อหรือบังคับให้ใครปฏิบัติตาม ผู้ใดมีศรัทธาก็จงเดินตามมา

ชีวิตในสัมปรายภพจะเป็นอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้น เราจะไปเกิดในอบายภูมิหรือสุคติภูมิก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคอยกำกับ เพราะเราทำกรรมใดไว้ ก็ต้องไปรับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเราจะได้ศึกษาปฏิปทาที่จะให้ได้เวียนเกิดในสองภูมิคือมนุษย์และเทวโลก มีตัวอย่างการตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับทางไปเกิดของมนุษย์ มาเล่าให้ฟังเป็นเครื่องประเทืองสติปัญญากัน

* สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมืองนาลันทา ผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งซึ่งมีนามว่า อสิพันธกบุตร ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามถึงปัญหาที่ตนสงสัยอยู่ในใจมานานว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคณโฑน้ำติดตัว ประดับพวงมาลัย สาหร่าย อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พวกพราหมณ์เหล่านั้นประกาศตนว่า สามารถยังสัตว์ที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้ และชักชวนให้ไปสวรรค์ได้ ก็พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหมดซึ่งได้ตายไปแล้วนั้น ให้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนคามณีผู้ใหญ่บ้าน ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านในกรณีนี้ก่อน ท่านจงพยากรณ์ไปตามแต่ท่านจะเห็นสมควรเถิด คือว่ามีบุรุษคนหนึ่งในโลก เป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนมาประชุมแล้ว พากันสวดวิงวอนประนมมือเดินเวียนประทักษิณรอบบุคคลนั้นว่า ขอให้บุรุษนี้ เมื่อตายไปจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ด้วยเถิด อย่าได้ตกไปในอบายภูมิเลย

ดูก่อนผู้ใหญ่บ้าน บุรุษนั้นเมื่อตายไปแล้ว จะพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบได้บ้างหรือไม่” “หามิได้ พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาจึงตรัสถามต่อไปว่า “ดูก่อนคามณี เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่ง โยนก้อนหินหนักใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุม แล้วพากันสวดวิงวอนสรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบในที่นั่นพร้อมกับกล่าวอ้อนวอน ๓ ครั้งว่า ขอก้อนหินจงโผล่ขึ้นมาเถิด ท่านเห็นว่าก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้นมา พึงลอยขึ้นมา เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบ ดังนี้ได้บ้างหรือไม่”

ผู้ใหญ่บ้านได้กราบทูลตามความเข้าใจว่า “หามิได้ พระเจ้าข้า” แล้วก็ ตั้งใจฟังต่อด้วยความอยากรู้ พระพุทธองค์ตรัสถามต่อว่า “ดูก่อนคามณี ย่อมเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คือว่า มนุษย์คนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด เมื่อตายไป ย่อมเป็นการยากที่จะพ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ดูก่อนคามณี มีบุคคลผู้หนึ่งเป็นคนงดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาท ผรุสวาท สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หมู่มหาชนพึงมาประชุมแล้วพากันสวดวิงวอนประนมมือเดินเวียนรอบบุคคลนั้นว่า ขอให้ผู้ที่ตายไปแล้วนี้ จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก” ท่านคิดว่า บุคคลนั้น เมื่อตายไปแล้ว จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ตามความปรารถนาของมหาชนได้หรือไม่”

ผู้ใหญ่บ้านตอบอย่างฉะฉานว่า “หามิได้ พระเจ้าข้า ย่อมเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด” พระพุทธองค์จึงตรัสถามต่อไปว่า “ดูก่อนคามณี เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่ง ลงไปในห้วงน้ำลึก ทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงจมลง เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้น หมู่มหาชนมาพากันสวดวิงวอน อยู่ที่ตรงนั้นว่า ขอเนยใสและน้ำมัน จงจมลงเหมือนก้อนหินเถิด ท่านเห็นว่า เนยใสและน้ำมันนั้นจะพึงจมลง เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอนของหมู่มหาชนนั้นหรือไม่” ผู้ใหญ่บ้านทูลตอบว่า “หามิได้ พระเจ้าข้า”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ผู้ใหญ่บ้านตอบยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น จึงมีพุทธดำรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคามณี ย่อมเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน บุคคลใดประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือ งดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาท ผรุสวาท สัมผัปปลาปะ ไม่เป็นผู้มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ แม้มหาชนจะพากันสาปแช่งว่า ขอให้เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่ว่าบุคคลนั้น ย่อมต้องเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์โดยแท้ทีเดียว”

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชี้แจงอย่างแจ่มแจ้งอย่างนี้แล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็ได้กราบบังคมทูลด้วยความเลื่อมใสในดวงใจว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระธรรมเทศนาของพระองค์ไพเราะนัก” เมื่อชื่นชมพระบรมศาสดาดังกล่าวแล้ว ก็มีใจผ่องแผ้ว ได้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนตลอดชีวิต

เราจะเห็นว่า มนุษย์เราเมื่อตายไปแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเหลือใครให้ไปสู่สรวงสวรรค์ได้ และไม่มีใครจะสาปแช่งใครให้ไปลงนรกหรือตกลงไปในอบายภูมิได้ อีกทั้งไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลให้ใครกลับมาเกิดเป็นคนได้ นอกจากกรรมที่ตนได้กระทำไว้เท่านั้น

ดังนั้น เมื่อเราปรารถนาอยากไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ก็ต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ให้มีเทวธรรมคือ หิริ โอตตัปปะ และประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อประพฤติธรรมอย่างนี้ได้สมบูรณ์ เราก็จะได้อานิสงส์ใหญ่ เป็นการเตรียมตัวตายอย่างถูกหลักวิธี เราจะเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน ทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมรรคผลนิพพาน ทั้งนี้ต้องทำทั้งทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาควบคู่กันไปด้วย ครั้น ละโลกนี้ไปแล้ว ก็จะได้ไปเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์ เมื่อเราทราบหนทางไปสู่สวรรค์ รวมถึงวิธีการที่จะให้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นผู้ถึงพร้อมในทุกๆ ด้านแล้ว ก็ให้ทุกท่านหมั่นประพฤติธรรม มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์และปฏิบัติธรรมกันให้เต็มที่ ให้ใช้สังขารร่างกายนี้สร้างบารมีทุกอนุวินาทีกันทุกคน

* มก. เล่ม ๒ ๙ หน้า ๑๘๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15634
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *