พระรัตนตรัย และผู้ทรงธรรมอย่างแท้จริง

พระรัตนตรัย และผู้ทรงธรรมอย่างแท้จริง
พระรัตนตรัยนั้นมีอยู่ ๓ ระดับ คือระดับเบื้องต้น ระดับท่ามกลาง และระดับเบื้องปลาย
พระพุทธเจ้าในเบื้องต้น สำหรับแนะนำสั่งสอนผู้ที่เพิ่งจะเรียนรู้ เพิ่งที่จะเข้ามาศึกษาพระรัตนตรัย ท่านได้แนะนำให้รู้จักว่าพระพุทธเจ้าคือใคร คือพุทธปฏิมากร พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา ในโบสถ์ ในวิหาร ในศาลาการเปรียญ แม้กระทั่งองค์พระที่ห้อยคออยู่ จะองค์ใหญ่องค์เล็ก จะทำด้วยวัสดุอะไรก็ตาม อิฐ หิน ปูน ทราย โลหะ หรือรัตนชาติ นี่คือพระพุทธเจ้าในเบื้องต้น

พระพุทธเจ้าในท่ามกลาง ท่านหมายเอาพระสิทธัตถะราชกุมาร ที่ทรงสละราชสมบัติ ออกผนวชเพื่อแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ ได้ตรัสรู้ พบหนทางพระนิพพาน ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ให้ศึกษาพุทธประวัติว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร นี่คือพระพุทธเจ้าในท่ามกลาง ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา เป็นต้น

พระพุทธเจ้าในเบื้องสูง ท่านหมายเอาพุทธรัตนะ รัตนะ แปลว่า แก้ว พุทธรัตนะ หมายถึง พระพุทธเจ้าที่เป็นแก้ว ที่ใสเป็นแก้วมีอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนในโลกนี้ มีอยู่ในตัวของพระสิทธัตถะ มีอยู่ในตัวของพระอรหันต์ทั้งหลาย และในตัวของพวกเราทุกๆ คน มีลักษณะคล้ายๆ กับพุทธปฏิมากรประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ เกตุดอกบัวตูม ใสเกินใสงามไม่มีที่ติ นั่งทำสมาธิภาวนาอยู่ในกลางกายของเราทุกๆ คน นั่นหมายถึง พระพุทธเจ้าในเบี้องปลาย

พระธรรมในเบื้องต้น ท่านหมายเอาคำสอนที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎกจะเป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาไทย หรือภาษาอะไรก็ตาม นี่ คือพระธรรมในเบื้องต้น

พระธรรมในท่ามกลาง ท่านหมายเอาคำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนพระสาวกของพระองค์ให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

พระธรรมในเบื้องปลาย ท่านหมายเอาธรรมรัตนะ คือพระธรรมที่เป็นแก้วมีลักษณะเป็นดวงใสกลมรอบตัวเหมีอนดวงแก้ว อยู่ในกลางของพุทธรัตนะ ใส บริสุทธิ์ งามไม่มีที่ติ ใสเกินใส ใสเหมือนกับพุทธรัตนะนั่นเอง

พระสงฆ์ในเบื้องต้น ใต้แก่ สมมติสงฆ์ ตั้งแต่หลวงพ่อ หลวงพี่ต่างๆเหล่านี้ เป็นต้น จัดเป็นสมมติสงฆ์ทั้งหมด

พระสงฆ์ในท่ามกลาง หมายถึง พระอริยสาวกที่ได้ฟังธรรมจากพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ตรัสรู้ตาม บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์

พระสงฆ์ในเบื้องปลาย หมายถึง สังฆรัตนะ คือ พระธรรมกายที่อยู่ในกายท่าน พระธรรมกายที่อยู่ในกลางธรรมรัตนะ ที่ทำหน้าที่รักษาธรรมรัตนะ ใส บริสุทธิ์ผุดผ่องทีเดียว

สิ่งที่พระองค์ท่านทรงต้องการให้รู้จัก ไม่เพียงแต่รัตนะทั้งสามอย่างนี้เท่านั้น แต่ต้องการให้เข้าถึงก็คือพระรัตนตรัยภายใน ได้แก่ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ที่อยู่ภายในนี้ นี่คือสิ่งที่ท่านอยากให้เข้าถึง เพราะเข้าถึงแล้ว จึงจะได้เป็นที่พึ่งและที่ระลึกให้กับตัวของเราเองได้ ถ้าทุกคนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยที่มีอยู่ภายในตัวแล้ว สันติสุขที่แท้จริงของโลกก็จะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

การที่ทุกคนในโลกปรารถนาอยากจะให้โลกเกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น ความปรารถนานั้นสามารถเป็นความจริงได้ ใม่ใช่เป็นความเพ้อฝันเลื่อนลอยเพราะว่าพระรัตนตรัยนั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ถ้าหากใครได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในแล้ว เขาจะมีชีวิตใหม่ที่สดใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เขาจะมีความคิดที่แตกต่างใปจากเดิม คำพูดและการกระทำที่แตกต่างใปจากเดิม มีแต่ความปรารถนาดีต่อเพี่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ใม่ใช่ปากพูดอย่าง ใจคิดอีกอย่าง พระรัตนตรัยนี้เป็นของจริงที่อยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ของจริงนั้นต้องคู่กับคนจริง ถ้าทำจริงก็จะเข้าถึงได้แน่นอน ถ้าหากปฎิบิติตามพุทธวิธีที่ได้แนะนำเอาใว้ จะได้รู้แจ้งเห็นจริง หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย

บัณฑิตควรจะพิสูจน์โดยลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ใหัรู้แจ้งเห็นจริงไป ตามความเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเปล่งอุทานว่า
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา
อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา
ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมํ

“เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์ ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ชัดในธรรมพร้อมทั้งเหตุ”

ธรรมกายเป็นของจริงที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา และมีอยู่ในตัวของพวกเราทุกๆคน ควรที่เราจะพิสูจน์ให้เข้าถึงของจริงที่อยู่ภายในตัวของเรา ผู้ที่ยังไม่รู้จักธรรมกายมีอยู่ ๒ ประเภท คือ ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ คือผู้ไม่ได้ศึกษาและลงมือปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง จึงไม่ทราบว่าธรรมกายนั้นมีอยู่จริง เมื่อไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น จึงกล่าวแบบผู้ไม่รู้ไม่เห็นกันไปต่างๆ นานา

อีกประเภทหนึ่ง คือผู้ที่ลงมือปฏิบ้ติแล้วแต่ทำไม่ได้ เพราะปฏิบัติไม่ถูกวิธี หรือบางพวกรู้วิธีการหมดแล้ว แต่ขาดความเพียร ทำไม่ต่อเนึ่อง จึงไม่รู้จักและไม่เข้าใจเรื่องธรรมกาย ซึ่งเป็นหลักที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไตัตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกผู้เรียนมามากหริอผู้พูดมาก ว่าเป็นผู้ทรงธรรม ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้เพียงบทเดียว แล้วแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นซึ่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม”

ดังนั้น เราจะเห็นว่าลำพังความรู้ในทางปริยัติเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เราต้องนำความรู้เหล่านั้นมาปฏิบัติให้บรรลุผลด้วย เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ ถ้าเราเข้าถึงธรรมกายได้เมื่อไร ความสงสัยทั้งปวงก็จะสิ้นไป จากผู้ไม่รู้ก็จะกลายเป็นผู้รู้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่สามารถรู้แจ้งได้ด้วยธรรมกาย ถ้าทุกคนลงมีอปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำอย่างถูกวิธีและมีความสม่ำเสมอก็จะสามารถเข้าถึงได้ทุกคน และเมื่อนั้นเราก็จะได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ทรงธรรมอย่างแท้จริง”…

วันอาทิตย์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือ แม่บทเดินทางข้ามวัฏสงสาร

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *