27.วิชชาธรรมกาย

วิชชาธรรมกาย

คำว่า “วิชชาธรรมกาย” ประกอบด้วย ๒ คำ คือ คำว่า “วิชชา”
กับคำว่า “ธรรมกาย”

คำว่า “วิชชา” แตกต่างจากคำว่า “วิชา” ในทางโลกที่เราได้เคย
ศึกษาเล่าเรียนกัน

วิชาทางโลกนั้นเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นใน ๒ ระดับ คือ
ระดับสุตมยปัญญา กับ จินตามยปัญญา

สุตมยปัญญา คือ ความรอบรู้ที่เกิดจากการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน
ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เป็นการรู้จำ คือ จำในสิ่งที่ผู้รู้ ไม่ว่าจะมีความรู้
สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ก็ตาม ได้บันทึกเรื่องราวสิ่งที่รู้เห็นเอาไว้เป็น
วิทยาทานให้ได้ศึกษากันสืบต่อมา

จินตามยปัญญา คือ ความรู้ที่เกิดจากการนำมาคิดพิจารณา
หาเหตุผลแบบนักคิดทั่วไป ความคิดบางครั้งถูกบ้าง ผิดบ้าง

นี่เป็นปัญญาใน ๒ ระดับ แต่ปัญญาในพระพุทธศาสนามี ๓ ระดับ

ระดับที่ ๓ คือ ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝน
ลงมือปฏิบัติแล้ว ในระดับที่อยู่นอกเหนือเหตุผลธรรมดา เราจะอาศัย
เหตุผลธรรมดามาใช้ไม่ได้เลย เพราะภาวนามยปัญญาเป็นความรู้ที่เกิดจาก
การเห็นแจ้ง คือ จิตต้องเกิดดวงสว่างขึ้นมา และความสว่างนั้นนำไปสู่จักษุ
ธรรมจักษุเกิดขึ้น หรือญาณทัสนะเกิดขึ้น สว่างแล้วจึงเห็น เห็นแล้วจึงรู้

เพราะฉะนั้น “วิชชา” จึงหมายถึง ความรู้แจ้งที่เกิดจากการ
เห็นแจ้ง ความเห็นที่เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลายแล้ว เกิด
ปัญญาบริสุทธิ์ รู้เห็นไปตามความเป็นจริง รู้ทั่วถึง รู้พร้อม แล้วก็รู้ไปสู่
เป้าหมาย เหมือนของที่อยู่ในที่มืดดึงมาอยู่กลางแจ้งเราก็จะเห็นชัดเจน
เช่น เชือกเปียกน้ำ ถ้าอยู่ในที่มืด ๆ บางทีเราอาจจะคิดว่าเป็นงู หรือเป็น
ตัวอะไรที่มันยาว ๆ หรืออาจจะเป็นเชือก ต้องใช้สมมติฐานด้นเดาถูกบ้าง
ผิดบ้าง แต่ว่าเมื่อลากมาอยู่กลางแจ้ง ก็รู้ชัดว่านี่แค่เชือกเปียกน้ำเท่านั้น

คำว่า “ธรรมกาย” ในพจนานุกรม แปลว่า หมวดหมู่แห่งธรรม
เขาแปลได้แค่นั้น คือ ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมประชุมกัน
เรียกว่า หมวดหมู่แห่งธรรม

มีนักศึกษาชาวตะวันตกสองสามีภรรยาเขาได้ค้นคว้ารวบรวม
ความหมายของคำว่า “ธรรม” ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกได้ ๕๐ กว่าความหมาย
มีความหมายหนึ่งที่น่าสนใจ เขาบอกว่า ธรรม มีลักษณะเป็นดวงกลม ๆ
ใส ๆ สว่าง ๆ และมีตัวตน เพราะฉะนั้น “ธรรมกาย” คือ กายที่ประกอบ
ไปด้วยธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมประชุมเกิดเป็นก้อนกาย
เป็นกายที่มีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ

เพราะฉะนั้น “วิชชาธรรมกาย” ก็คือความรู้แจ้งที่เกิดจากการ
เห็นแจ้งด้วยธรรมจักษุ แล้วก็รู้ได้ด้วยญาณทัสนะของธรรมกายนั่นเอง
นี่เป็นเรื่องสำคัญ

วิชชาธรรมกายเกิดขึ้นได้ด้วยธรรมกาย เป็นที่ประชุมรวมอยู่ตรงนั้น
มีอยู่ในกลางกายของมนุษย์ทุกคน มีมาดั้งเดิมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โน้น
เริ่มต้นเมื่อไร ไม่มีใครทราบ

การที่เราเคารพกราบไหว้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะ
พระองค์ทรงบรรลุวิชชาธรรมกายก่อน แล้วได้ทรงนำมาเปิดเผยกระทั่ง
มีผู้รู้แจ้งตามพระองค์ เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมมากมาย แต่หลังจาก
พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๕๐๐ ปี ความรู้ยิ่งนี้ก็หายไปคงเหลือไว้
แต่ชื่อ คือ คำว่า “ธรรมกาย” ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ในทางพระพุทธศาสนา
ในนิกายต่าง ๆ ทั้งวัชรยาน มหายาน และเถรวาท แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า
ธรรมกายนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร เข้าถึงได้อย่างไร

จนกระทั่งเมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านได้
สละชีวิตปฏิบัติธรรมกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย ณ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง
จังหวัดนนทบุรี ความลับนี้จึงได้เปิดเผยออกมาสู่ชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง

หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านบวชเมื่ออายุ ๒๒ ปี บวชได้
หนึ่งวัน รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งก็ปฏิบัติธรรมแล้วก็ศึกษาทางด้านปริยัติ ศึกษา
หมดทุกสำนัก แต่ไม่ได้สอบเป็นมหาเปรียญ รู้ว่าสำนักไหนมีครูดี ชำนาญ
ในพระไตรปิฎก ท่านก็จะไปศึกษาทุกหนทุกแห่ง ทั้งศึกษาด้วยตัวเองด้วย
จากครูบาอาจารย์ตามสำนักต่าง ๆ ด้วย

แล้วในที่สุดท่านก็สรุปว่า ความรู้จะสมบูรณ์ได้จะต้องประกอบไป
ด้วย ๓ ป. คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ปริยัติก็คือการศึกษาด้านทฤษฎี
ต้องอ่าน ต้องศึกษา ท่านอ่านหมดในพระไตรปิฎก แล้วก็ปฏิบัติด้วยตนเอง
เรื่อยมา ไม่ว่างเว้นในการปฏิบัติเลยแม้แต่วันเดียว รู้ข่าวคราวว่า ครูไหน
สำนักไหนมีการปฏิบัติ ก็ยอมตนเข้าไปเป็นศิษย์ไปศึกษา ได้เข้าถึงที่สุด
แห่งความรู้ของครูบาอาจารย์ ซึ่งได้แค่ดวงสว่างปรากฏอยู่ แล้วครูก็ชวน
ท่านช่วยกันสั่งสอนศิษย์เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ของท่าน

แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ มีความคิดว่า ความรู้แค่นี้
เหมือนหางอึ่งนิดเดียว จะไปเป็นครูเขาได้อย่างไร ท่านจึงกราบลามาด้วย
ความเคารพ แล้วก็ไปศึกษาวิธีการต่าง ๆ ที่มีปรากฏอยู่ในวิสุทธิมรรค ๔๐ วิธี
ก็ศึกษากันมาทั่วหมดทุกสำนัก

แต่ก็ยังไม่จุใจ เพราะท่านมีความรู้สึกว่า ยังไม่ถึงจุดของความรู้ตาม
ที่ได้ศึกษาภาคปริยัติมา ในที่สุดหลังจากที่ศึกษาทั้งทฤษฎีและปฏิบัติตาม
สำนักต่าง ๆ มาจนย่างเข้าพรรษาที่ ๑๒ ของการบวช ในกลางพรรษา
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ท่านก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า

“วันนี้เป็นไงเป็นกัน ถ้าหากว่าไม่ได้บรรลุธรรมที่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทรงบรรลุ จะไม่ลุกจากที่ จะนั่งปล่อยชีวิตอย่างนี้เรื่อยไป
แม้เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ถ้าไม่รู้
ไม่เห็นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ตายเถอะ”

นี่เป็นความอัศจรรย์ของภิกษุหนุ่มวัย ๓๓ ปี ซึ่งยังไม่ได้รู้เรื่องราว
อะไรเลยเกี่ยวกับหนทางไปนิพพาน ได้ศึกษาแต่พระปริยัติ

แล้วในที่สุดวันนั้น ตามประวัติที่ท่านบันทึกเอาไว้ ท่านได้ทำความ
เพียรที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ปัจจุบันนี้ในโบสถ์นั้นก็ยังมีพระพุทธรูป
องค์ดั้งเดิมอยู่ ที่นั่งก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ราบเรียบ ท่านก็เลือกเอามุมหนึ่ง
เป็นสถานที่นั่งสมาธิ ตัดสินใจยอมสละแม้ชีวิต เอานิ้วจุ่มน้ำมันก๊าดเพื่อ
จะขีดวงกันมดที่ไต่ตามช่องแตกของพื้นหินไม่ให้มารบกวน แต่ขีดไปได้
ครึ่งหนึ่งท่านก็นึกละอายใจว่า สละชีวิตแล้วยังมากลัวมดอีก จึงตัดสินใจ
หลับตาปล่อยชีวิตไปเลย

ท่านบอกว่า ค่อนคืนทีเดียวจึงได้บรรลุถึงธรรมกาย บรรลุถึง
ธรรมกาย แล้วท่านก็บอก โอ! มันยากอย่างนี้นี่เอง มันต้องดับก่อนแล้วจึง
เกิด คือ ใจต้องหยุดต้องนิ่งเสียก่อน ถูกส่วนถึงจะเห็นไปตามลำดับ เห็นไป
ได้ ๕ กายจนกระทั่งถึงกายธรรม พอถึงกายธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เข้าก็รู้ว่านี่แหละ คือ กายธรรม เป็นกายตรัสรู้ธรรมอยู่ศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗

ท่านตรวจตราทบทวนดูอย่างดีทีเดียว จนกระทั่งมั่นใจว่า นี่ถูกทาง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ทบทวนทำความเพียรไปทั้งคืน
จนกระทั่งติดอยู่ในกลางท่าน แล้วต่อมาท่านก็เห็นในญาณทัสนะว่า จะมีผู้
บรรลุธรรมกายตามท่านอยู่ที่วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม

ภายในพรรษานั้น ท่านก็ทบทวนแล้วก็ศึกษาวิชชาธรรมกายด้วย
ธรรมกายภายในกลางกายเรื่อยไป ในที่สุดออกพรรษาแล้วก็ได้ไปที่วัด
บางปลา มีผู้บรรลุธรรมตามท่าน เป็นพระภิกษุ ๓ รูป ฆราวาส ๔ ท่าน ตรง
ตามที่ท่านได้เห็นในญาณทัสนะ แล้วก็เริ่มเผยแผ่ธรรมเรื่อยมาจนกระทั่ง
ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

เพราะฉะนั้น การที่หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้ค้นพบ “วิชชา
ธรรมกาย” ทำให้พวกเราทั้งหลายรู้จัก “ธรรมกาย” ว่ามีอยู่ในกลางกาย
ของมนุษย์ทุกคน เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด และเป็นเป้าหมายของการ
เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ต่างเกิดมาก็เพื่อแสวงหาธรรมกาย พระเดชพระคุณ
หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงเป็นบุคคลสำคัญที่มีพระคุณต่อชาวโลก
และเป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง
๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://www.dhamma01.com/book/43
ต้นฉบับ หนังสือ คำสอนคุณครูไม่ใหญ่ เล่ม 2

กลับสู่
สารบัญ หนังสือคำสอนครูไม่ใหญ่

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *