อานิสงส์ถวายผ้าครึ่งท่อน

อานิสงส์ถวายผ้าครึ่งท่อน (พระอัฑฒเจลกเถระ และพระสูจิทายกเถระ )

     การเจริญสมาธิภาวนา ทำใจหยุดใจนิ่ง เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง  เพราะนั่นคือการเดินเข้าไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน หนทางที่จะเดินเข้าไปถึงได้  มีเพียงทางเดียวคือทางสายกลางภายใน เข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ ไม่มีถอนถอย ทำกันอย่างนี้ จึงจะได้ชื่อว่า เดินตามรอยของพระอริยเจ้าทั้งหลาย แล้วเมื่อนั้นเราจะรู้ว่า ชีวิตเกิดมาทำไม มีอะไรเป็นเป้าหมายที่แท้จริง แจะได้มุ่งไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ที่สุดแห่งธรรม  สามารถปลดเปลื้องพันธนาการของชีวิต เข้าถึงความสุขที่แท้จริงเยี่ยงพระอริยเจ้าทั้งหลาย

     มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน อัฑฒเจลกเถราปทาน ความว่า

     “เราเป็นคนเข็ญใจ สมควรได้รับความการุญอย่างยิ่ง  ได้ถวายผ้าครึ่งท่อนแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ติสสะ  ครั้นถวายผ้าครึ่งท่อนนั้นแล้ว ได้บันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัปหนึ่ง  และเราได้ทำกุศลในกัปทั้งหลายที่เหลือ ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้  เราได้ถวายผ้าใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย  นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้าเพียงครึ่งท่อนเท่านั้น”

     พระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายต่างตระหนักและซาบซึ้งกันอย่างดี พระองค์ทรงเป็นพระศาสดาที่สมบูรณ์พร้อมในทุกๆเรื่อง ทรงเป็นเนื้อนาบุญที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสากลโลก ทรงมีพระเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สิ้นสุด  บุคคลใดที่ได้เกิดมาพบพระพุทธองค์ นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมหาศาล ไม่มีสิ่งใดจะเปรียบปาน ดังความโชคดีของพระอรหันต์องค์ที่มีนามว่า  พระอัฑฒเจลกเถระ

     * ในอดีตท่านได้บำเพ็ญบุญกุศลในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาพอสมควร  แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ในภพชาตินั้นๆ  ถึงกระนั้น  ท่านก็ยังมีหัวใจที่มุ่งตรงต่อพระนิพพาน บุญที่ท่านได้สั่งสมเอาไว้ ได้ตามส่งผลมาทุกภพทุกชาติ คอยประคับประคองให้ชีวิตเข้าถึงความสุขอันควรในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดในภพชาตินั้นๆ

     จนกระทั่งมาถึงสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าติสสะ  ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนอายุยืนถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี  ท่านได้บังเกิดในเรือนของคนเข็ญใจ มีฐานะยากจน เนื่องจากบาปอกุศลที่เป็นผลของความตระหนี่ในอดีตชาติ ได้ตามมาให้ผลในชาตินั้นพอดี ทำให้มีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากยากแค้น หาเช้ากินคํ่า  ถึงกระนั้นก็ตาม มารดาบิดาก็ได้ฟูมฟักเลี้ยงดูท่านจนเติบใหญ่  แม้ฐานะทางบ้านจะยากจนเกินจะเข็น แต่หัวใจไม่ยากเข็ญตามความจนเลย  เป็นดวงใจที่มีศรัทธาเป็นสัมมาทิฏฐิ เลี้ยงดูลูกน้อยจนเติบใหญ่

     วันหนึ่ง  บุตรชายได้เดินตามมหาชนไปยังวิหาร ทำให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา  ซึ่งในวันนั้นพระองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับอานิสงส์ของการให้ทาน รักษาศีล พรรณนาถึงสวรรค์ โทษของกามและอานิสงส์ของเนกขัมมะ  กุลบุตรนั้นได้พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม  ฉุกคิดขึ้นมาว่า “การที่เราเกิดมายากจนเข็ญใจเช่นนี้ ก็เพราะความประมาทและความตระหนี่ เราไม่ได้ทำทานเอาไว้ ทำให้ต้องอยู่อย่างยากลำบาก เราจะขอลำบากเพียงแค่ชาตินี้เท่านั้น ชาติต่อๆ ไปเราจะไม่ยอมลำบากอีกแล้ว”  เพียงแค่คิด ใจก็เต็มตื้นด้วยมหาปีติและความเลื่อมใส ท่านจึงตัดใจนำผ้าที่มีเพียงครึ่งท่อนน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทำจีวร

     เหตุการณ์ครั้งนั้น ส่งผลให้ท่านเกิดมหาปีติและความโสมนัสไปจนตลอดชีวิต นึกถึงทีไรก็มีปีติแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ครั้นละจากโลก บุญก็ส่งให้ไปบังเกิดในสวรรค์ สมบูรณ์ด้วยทิพยสมบัติที่ละเอียดประณีต เวียนวนอยู่บนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น  เมื่อจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ลงมาเสวยจักรพรรดิสมบัติ อันเป็นสุดยอดแห่งมนุษย์สมบัติในมนุษยโลกหลายชาติทีเดียว

     จนมาถึงสมัยพุทธกาลของเราท่านได้ลงมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง ในสกุลมั่งคั่งสกุลหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่ท่านมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา ทำให้เกิดความเลื่อมใสจึงออกบวช  บำเพ็ญเพียรไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  ต่อมาท่านระลึกถึงบุพกรรมของตน ทำให้เกิดความปีติโสมนัสจึงกล่าวว่า “เราเป็นคนจนเข็ญใจ ได้รับความการุญอย่างยิ่งจากพระศาสดาผู้เป็นเนื้อนาบุญ ได้ถวายผ้าเพียงครึ่งท่อนแด่พระองค์ ด้วยอานิสงส์นั้น  ทำให้เราบันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดหนึ่งกัป และทำให้ได้มหาสมบัติใหญ่ไปทุกชาติ  เราได้ถวายผ้าใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลยในกัปที่ ๙๒ กัป แต่กัปนี้  ในกัปที่ ๕๑ แต่กัปนี้ ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่หลายครั้ง และมีพระนามว่า  สมันตาโอทนะ  ภพชาตินี้ก็สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย นี้เป็นผลแห่งการถวายทานเพียงเล็กน้อย”

     นี่ก็เป็นเรื่องราวประวัติของพระอัฑฒเจลกเถระ ที่ท่านเกิดความโสมนัสถึงผลแห่งการถวายทานถูกเนื้อนาบุญ แล้วได้สมบัติใหญ่ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ วันนี้หลวงพ่อยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังถึงอานิสงส์พิเศษ  ที่นักสร้างบารมีได้รับจากผลแห่งการทำความดี เป็นเรื่องราวคล้ายๆ เรื่องก่อนๆ  ที่หลวงพ่อเคยนำมาเล่า เพียงเป็นคนละบุคคลกัน และเกิดคนละยุคสมัย  แต่ด้วยบุญที่ทำคล้ายคลึงกัน จึงทำให้ท่านได้รับผลบุญที่คล้ายคลึงกัน

     พระเถระนี้มีชื่อว่า พระสูจิทายกเถระ ย้อนไปในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้เกิดในตระกูลของช่างทอง  เมื่อเจริญวัยขึ้นก็ได้ศึกษาเล่าเรียนความรู้ทั้งหลายที่เกี่ยวกับอาชีพของตระกูล  จนมีฝีมือในเรื่องการทำทองเป็นรูปแบบต่างๆ  ท่านเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระศาสนามาก แม้ว่าจะมีงานมากมายเพียงใดก็ตาม  ท่านก็พยายามหาโอกาสปลีกตัวไปฟังธรรมอยู่เสมอๆ

     วันหนึ่ง ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เกิดความปีติมีใจเลื่อมใสอย่างยิ่ง ปรารถนาจะถวายทาน  แต่ยังนึกอะไรไม่ออกว่าจะถวายอะไร  ขณะนั้นเองมองไปข้างหน้า เห็นพระศาสดามีพระรัศมีแผ่ออกจากพระวรกายที่ห่อหุ้มด้วยผ้ากาสายะ ก็คิดว่า “จีวรของพระศาสดานี้เป็นสิ่งที่ใช้ห่อหุ้มร่างกาย เพื่อป้องกันอากาศหนาวและร้อน กันอันตรายต่างๆ  เราอยากจะมีส่วนบุญตรงนี้”  จึงถวายเข็มสำหรับเย็บจีวรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ด้วยผลบุญนั้นทำให้ท่านเสวยทิพยสมบัติอย่างยาวนาน ครั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีก  ก็เสวยสมบัติจักรพรรดิมีสมบัติตักไม่พร่อง  และทุกครั้งที่เกิดมา จะเป็นผู้ที่มีปัญญาหลักแหลม รู้ญาณแม่นยำในภพที่ตนเกิดอย่างน่าอัศจรรย์ใจ  ทั้งหมดนี้ก็ด้วยอานิสงส์จากการถวายเข็มเย็บจีวรกับพระศาสดา นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งในผลแห่งบุญแม้จะทำเพียงเล็กน้อยก็ตาม

     จนมาถึงภพชาติสุดท้ายในพุทธกาลนี้ ท่านได้กลับมาเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์มาก มีความศรัทธาในพระศาสนาอย่างยิ่ง และมีปัญญาหลักแหลมเกินกว่าคนทั่วๆไป  วันหนึ่ง ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา และส่งใจไปตามกระแสธรรม  ด้วยอำนาจบุญเก่าประกอบกับใจที่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ ทำให้ท่านสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตรงนั้นเอง

     หลังจากบรรลุธรรมแล้ว ท่านได้ระลึกชาติไปดูบุพกรรมของตนเองก็พบว่าเมื่อภพชาติก่อน ท่านเคยถวายเข็มแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า  ทำให้มีญาณดั่งแก้ววิเชียร สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง  ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันได้อย่างไม่มีอะไรมาปิดบังญาณทัสสนะของท่าน  และในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ก็ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ ครั้ง  ทรงพระนามว่า วชิราสมะ ภพชาติสุดท้ายก็สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย

     เราจะเห็นว่า  การได้สร้างบุญแม้เพียงเล็กน้อยกับเนื้อนาบุญอันเลิศนั้น  ผลบุญที่เกิดขึ้นกลับเกินควรเกินคาด  เพราะแม้เราจะทำน้อยในสายตาของคนทั่วไป แต่หากทำด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาแล้ว  ผลที่ได้นั้นเกินความคาดหมาย เป็นอจินไตยทีเดียว  นี้เป็นหลักในการทำบุญที่ทุกคนควรตระหนักและจดจำเอาไว้ว่า  เราจะต้องทำด้วยใจที่เลื่อมใส มีมหาปีติที่เต็มเปี่ยม หมั่นระลึกนึกถึงบุญที่ทำไปแล้วนั้นจนตลอดอายุขัย  ให้มีมหาปีติในการประกอบเหตุแห่งบุญกุศลอย่างนี้กัน

* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๓๔, ๓๓๖
 

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/11588
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *