อานิสงส์ถวายทานแด่พระสงฆ์

อานิสงส์ถวายทานแด่พระสงฆ์ (พระมหาโมคคัลลานะเยี่ยมเยียนชาวสวรรค์เล่าอานิสงส์แห่งทาน)

     หลังจากที่เราก็ต่างเหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวันแล้ว จากการประกอบธุรกิจหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียน ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราควรให้โอกาสแก่ตัวของเราเองบ้าง ในการแสวงหาสาระอันแท้จริงของชีวิต เพิ่มเติมสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดให้กับชีวิตของเรา ด้วยการปฏิบัติธรรม ชีวิตจะได้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม ให้ใจของเราอยู่ในกระแสแห่งธรรม จะได้พบกับความสุข สดชื่น เบิกบาน คลายจากความเหน็ดเหนื่อยที่เราได้ตรากตรำกันมาตลอดทั้งวัน เพราะฉะนั้น ช่วงเวลานี้สำคัญที่สุด เป็นเวลาแห่งการหยุดนิ่ง เพื่อทำความสะอาดบริสุทธิ์ให้บังเกิดขึ้นในใจ แล้วเราจะได้เข้าไปพบกับพระรัตนตรัยภายใน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในทานานิสังสสูตรว่า

“ททมาโน ปิโย โหติ สตํ ธมฺมํ อนุกฺกมํ
สนฺโต นํ สทา ภชนฺติ สญฺญตา พฺรหฺมจารโย
เต ตสฺส ธมฺมํ เทเสนฺติ สพฺพทุกฺขาปนูทนํ
ยํ โส ธมฺมํ อิธญฺญาย ปรินิพฺพาตนาสโวติ
ผู้ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักของชนเป็นอันมาก ชื่อว่าดำเนินตามธรรมของสัตบุรุษ สัตบุรุษผู้สงบผู้สำรวมอินทรีย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมคบหาผู้ให้ทานทุกเมื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น ย่อมแสดงธรรมเป็นที่บรรเทาทุกข์ทั้งปวง เมื่อได้ทราบชัดแล้ว ย่อมเป็นผู้หาอาสวะมิได้ ปรินิพพานในโลกนี้ ”

      “การให้” เป็นความสุขของผู้เอาชนะความตระหนี่ในใจได้แล้ว เพราะคนส่วนใหญ่มักถูกความตระหนี่ครอบงำจิตใจ แต่เมื่อใดที่เราสละของรักของหวงออกไปได้ด้วยความหวังว่า สิ่งที่ได้ให้ไปแล้วนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับ เมื่อนั้นความสุขก็จะบังเกิดขึ้นกับตัวของเราเอง แล้วกระแสแห่งบุญก็จะเข้ามาแทนที่ความตระหนี่ที่เคยอยู่ในใจ การเสียสละ การดำรงตนอยู่ในสถานะของความเป็นผู้ให้ มีธรรมคือจาคะอยู่ในใจ จึงเป็นลักษณะของสัตบุรุษผู้รู้ที่แท้จริง มีภาษิตที่ว่า ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ผู้หวังบุญก็ไม่อิ่มด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ผู้รักในการให้จึงเป็นผู้ที่น่าคบหาสมาคมด้วย และยังเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

     หลวงพ่อได้ยกหัวข้อธรรมเรื่องการทำทานมาแสดงให้ทุกๆ ท่านได้ฟัง เพราะเห็นว่า เป็นกุศลธรรมเบื้องต้นที่ควรบำเพ็ญกันให้มาก ให้เป็นอุปนิสัยติดตัวของเราไปทุกภพทุกชาติ การให้ทานนี้ใครทำคนนั้นก็เป็นผู้ได้บุญ ถ้าไม่ทำแล้วจะเอาบุญที่ไหนมาเป็นเสบียงในการเดินทางไกลในวัฏสงสาร พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการให้ทานมี ๕ ประการ คือ ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก สัตบุรุษผู้สงบย่อมคบหาผู้ให้ทาน กิตติศัพท์อันดีงามของผู้ให้ทานย่อมขจรขจายไปทั่ว ผู้ให้ทานย่อมไม่ห่างเหินจากธรรมของสัตบุรุษ และเมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”

     เมื่อเราให้ทานแล้วในแต่ละครั้งก็ย่อมเกิดมีความสุขเป็นผล ผลบุญนั้นยังส่งให้เรามีความสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ เหมือนพระมหาโมคคัลลานะเถระที่ท่านชอบไปเยี่ยมเยียนเหล่าเทพบุตรเทพธิดาบนสวรรค์ แล้วได้ไต่ถามถึงอานิสงส์ที่เทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นได้รับเพราะไปสร้างผลบุญอะไรไว้ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ เมื่อท่านได้ยินได้ฟังแล้ว ก็นำเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับพุทธศาสนิกชนผู้มีบุญทั้งหลายได้รับฟัง จะได้มีกำลังใจสั่งสมบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไป มีอยู่ในวันหนึ่งอีกเช่นกันที่ท่านได้เหาะขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วได้พบกับวิมานทองของเทพบุตรที่มีลักษณะที่พิเศษกว่าใครๆ ท่านจึงเข้าไปถามว่า “วิมานเสาแก้วมณีสูง ๑๒ โยชน์ มีห้องรโหฐานถึง ๗๐๐ ห้อง มีเสาแก้วไพฑูรย์ ลาดด้วยเครื่องลาดที่วิจิตรสวยงาม ท่านนั่งเสวยสุข ในวิมานนี้มีพิณทิพย์บรรเลงไพเราะ พรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณ มีรสเป็นทิพย์ และเทพนารีแต่งองค์ด้วยอาภรณ์งดงามฟ้อนรำอยู่ เพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน ดูก่อนเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งที่ท่านเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้”

     เทพบุตรได้ฟังคำถามจากพระเถระอย่างนั้นก็รู้สึกปีติใจเป็นอย่างยิ่ง จึงกราบเรียนท่านไปว่า ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดา แล้วมีจิตเลื่อมใสในพระศาสนา จึงได้ทำบุญกับภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ออกจากสมาบัติมาสู่บ้านของเราเพื่อประโยชน์แก่เราหนอ ทานที่ได้ทำไปนั้น เราไม่มีความตระหนี่หวงแหนหลงเหลืออยู่ในใจเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อตามระลึกถึงคราใด ก็มีจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน และก็ยังหาโอกาสทำบุญกับพระสงฆ์อยู่เป็นประจำไม่เคยขาดเลยตลอดชีวิต เมื่อละโลกแล้ว จึงเข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะบุญนั้น วรรณะของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และทิพยสมบัติทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า”

     พระเถระได้ฟังแล้วก็อนุโมทนาสาธุการในความเป็นผู้ไม่ประมาท และฉลาดในการสั่งสมบุญของเทพบุตร แล้วจึงเหาะต่อไปอีกเรื่อยๆ ก็ไปพบวิมานอีกหลังหนึ่งจึงเข้าไปถามเทพธิดาผู้เป็นเจ้าของว่า เธอได้ทำบุญอะไรเอาไว้ จึงมีรัศมีกายสว่างไสวงดงามเป็นพิเศษอย่างนี้ เทพธิดาเรียนท่านว่า “สมัยเป็นมนุษย์ ดิฉันเกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ เป็นสตรีผู้ยินดีในการให้ทาน ไม่เคยเบื่อหน่ายในการสั่งสมบุญเลย ได้ถวายผ้าอย่างดีผืนหนึ่งแก่ภิกษุรูปหนึ่งด้วยจิตที่เลื่อมใส เพราะเหตุที่ได้ถวายทานในภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศนี้ จึงทำให้ได้ทิพยวิมานอันน่าปลื้มใจ เชิญพระคุณเจ้าดูวิมานของดิฉันเถิด ยิ่งกว่านั้น ดิฉันยังเป็นเทพธิดาที่มีรูปร่างและผิวพรรณน่าดูน่าชม ทั้งยังเป็นผู้เลิศกว่านางอัปสรตั้งพันนาง เชิญท่านดูผลแห่งบุญ คือการถวายผ้าชั้นดีทั้งหลายนั้นเถิด เพราะบุญกรรมนั้น ดิฉันจึงมีวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ”

     พระเถระฟังแล้วก็อนุโมทนากับเทพธิดาว่า ทำดีแล้ว และมีบุญลาภที่ได้เกิดในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง มีเนื้อนาบุญอันเยี่ยมให้ได้ไว้สั่งสมบุญ ขอให้เธอมีความสุขในสุคติสวรรค์นี้เถิด แล้วท่านก็เหาะผ่านเลยไปอีก ก่อนจะกลับได้แวะเข้าไปเยี่ยมวิมานของเทพธิดาอีกองค์หนึ่ง วิมานหลังนี้มีความพิเศษตรงที่มีกลิ่นดอกไม้สวรรค์หอมหวล ตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณของวิมานหลังนั้น พระเถระจึงได้ไต่ถามเจ้าของวิมานว่า ได้ทำบุญอะไรเอาไว้ จึงได้วิมานที่มีกลิ่นหอมตลอดเวลาอย่างนี้

     เทพธิดาได้เรียนพระเถระให้ทราบว่า ตนได้ถวายทานอยู่เป็นประจำไม่เคยขาด และยังยินดีในการรักษาศีล ไม่นอกใจในสามี เคารพสามีและพ่อสามีประดุจเทวดา เป็นผู้มีความเคารพยำเกรงต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล นอกจากนี้ยังได้ถวายดอกมะลิมีกลิ่นหอมแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ผลบุญนั้นจึงส่งผลให้ได้ทิพยวิมานน่าปลื้มใจถึงเพียงนี้ และยังทำให้กลิ่นกายหอมเหมือนดอกมะลิ นี่เป็นผลบุญที่ได้ทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์นั้น

     นี่ก็เป็นตัวอย่างเพียงไม่กี่เรื่องที่หลวงพ่อนำมาเล่าเป็นปุคคลาธิษฐานเอาไว้ วิมานนั้นเป็นของเฉพาะตน ตายไปแล้วถ้าใครไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้ จะเข้าไปขออาศัยอยู่ในวิมานของคนอื่นก็ไม่ได้ ประเภทไม่ได้ทำบุญก่อนตาย ก็มีแต่จะกลายเป็นสัมภเวสีล่องลอยไปไม่มีวิมานสิงสถิต บางทีต้องอาศัยศาลเจ้าเล็กๆ เป็นที่อาศัย ใครประกอบเหตุไว้อย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น เราต้องไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่า มื่อเราสั่งสมบุญเอาไว้อย่างดีแล้ว บุญนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย จะกลั่นกลายเป็นดวงบุญติดตามตัวเราไป รอคอยวันเวลาที่สมควรที่จะให้ผล ก่อเกิดเป็นทรัพย์สมบัติ และเป็นทิพยสมบัติรอคอยไว้เรียบร้อยแล้ว

     ขอให้ทุกๆ ท่านหมั่นสั่งสมบุญไว้เถิด ส่วนท่านใดทำหน้าที่ของผู้นำบุญ ก็ให้มีความปีติใจและตระหนักไว้ว่า เรานำบุญไปให้เขาจริงๆ นำโอกาสดีๆ ไปมอบให้เขา เพราะถ้าเราไม่บอกบุญ เขาจะพลาดโอกาสบุญพิเศษไป แล้วเวลาทำบุญก็อย่าไปกลัวหมด กลัวจน ให้เปลี่ยนจากความกลัวมาเป็นความกล้า กล้าที่จะเอาชนะความตระหนี่ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจออกไปให้หมด เมื่อความตระหนี่หลุดล่อนออกจากใจ สมบัติต่างๆ จะไหลเข้ามาหาเราอย่างเป็นอัศจรรย์ทันใช้สร้างบารมีในชาตินี้

     โอกาสที่จะได้สั่งสมทานกุศลเป็นของเราแล้ว ภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ก็มีพร้อมแล้วในปัจจุบันนี้ อย่าได้ประมาทกัน วันเวลาไม่รอคอยใคร เหมือนสายน้ำไหลไปไม่ย้อนคืน ให้ตักตวงบุญเอาไปให้มากๆ มากถึงขนาดที่ส่งผลให้เราไปถึงที่สุดแห่งธรรมกันเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วต้องรอให้ใครมาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ เวลาเพื่อนเทวดาเข้ามาถาม หากตอบว่า “วิมานนี้ได้มา เพราะหมู่ญาติอุทิศส่วนบุญให้” อย่างนี้มันน่าอายเขา เมื่อละโลกไปแล้วต้องพูดได้อย่างเต็มปากว่า “วิมานหลังนี้ ฉันสร้างมากับมือ ได้มาด้วยบุญที่เกิดจากการทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาในสมัยที่อยู่บนโลกมนุษย์“ ต้องพูดให้ได้อย่างนี้ ถึงจะเป็นความภาคภูมิใจ เพราะไม่ต้องไปอาศัยบุญจากคนอื่น ดังนั้น ให้วันเวลาผ่านไปอย่างมีคุณค่าและมีความหมายอันดีงามด้วยการสร้างบารมีให้เต็มที่กันทุกๆ คน
 
*   มก. มหากปิชาดก เล่ม ๔๘ หน้า ๔๖๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/11442
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *