มงคลที่ ๑๙ งดเว้นจากบาป – บาปไม่กล้ำกราย

มงคลที่ ๑๙ งดเว้นจากบาป – บาปไม่กล้ำกราย

ถ้าแผลไม่มีที่ฝ่ามือ บุคคลพึงนำยาพิษไปได้
เพราะยาพิษไม่ซึมเข้าไปในฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด
บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ ฉันนั้น

มวลมนุษยชาติล้วนปรารถนาให้โลกมีสันติสุขที่แท้จริง แต่ไม่มีใครรู้ว่า สันติสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน จะเข้าถึงได้อย่างไร จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า การที่จะทำให้เกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น มนุษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงสันติสุขภายใน คือ เข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุขที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ หากได้ลงมือปฏิบัติอย่างถูกวิธี ย่อมเข้าถึงพระธรรมกายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ว่า
ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส        หเรยฺย ปาณินา วิส
นาพฺพณํ วิสมเนฺวต        นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต

ถ้าแผลไม่มีที่ฝ่ามือ บุคคลพึงนำยาพิษไปได้ เพราะยาพิษไม่ซึมเข้าไปในฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ ฉันนั้น

ยาพิษเป็นสิ่งที่ใครๆ ไม่อยากแตะต้อง เพราะมีอันตรายต่อชีวิต แต่ถ้าจำเป็นจะต้องจับจริงๆ ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ยิ่งถ้าฝ่ามือของเรามีบาดแผล หากไม่ระวัง ยาพิษอาจซึมเข้าไปทำอันตรายได้ แต่ถ้าฝ่ามือของเราไม่มีบาดแผล ยาพิษก็ไม่อาจซึมเข้าสู่ร่างกายได้ บาปก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้น เพราะเป็นเหมือนยาพิษ ที่นำความทุกข์ทรมานมาสู่ชีวิตของเรา

หากเราไม่ทำบาปด้วยกาย วาจา ใจ บาปก็ไม่อาจทำอะไรเราได้ การเกิดขึ้นของบาปนั้นเริ่มต้นที่ใจ เมื่อใจคิดไม่ดี  คำพูด และการกระทำก็พลอยไม่ดีไปด้วย แต่เมื่อใจสะอาดบริสุทธิ์คิดดีแล้ว คำพูด และการกระทำจะพลอยสะอาดบริสุทธิ์ตามไปด้วย ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล

*สมัยนั้นมีธิดาของเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ในกรุงราชคฤห์ ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ บิดามารดาได้เลี้ยงดูอย่างดีบนปราสาทชั้น ๗  เมื่อโตเป็นสาวแล้ว วันหนึ่ง นางมองลงมาจากหน้าต่างปราสาทชั้น ๗ เห็นนายพรานคนหนึ่งชื่อ กุกกุฏมิตร กำลังนำเนื้อสัตว์บรรทุกเกวียนเข้าไปขายในเมือง ทันทีที่นางเห็นนายพรานก็เกิดความรักขึ้นมา จึงให้คนรับใช้ส่งของฝากไปให้ ส่วนนางตัดสินใจหนีตามนายพรานไป

มารดาบิดาของนางให้คนค้นหาจนทั่วก็ไม่พบ จึงคิดว่าลูกของตนคงตายไปแล้ว ได้พากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ธิดาเศรษฐีไปอยู่กับนายพรานในป่า จนกระทั่งมีลูกชายถึง ๗ คน  เมื่อลูกชายเติบโตขึ้น ได้แต่งงานกันทุกคน รวมแล้วจึงเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกถึง ๑๖ คนด้วยกัน

วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นในข่ายพระญาณว่า นายพรานและลูกชายพร้อมลูกสะใภ้ทุกคน จะได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน รุ่งอรุณของวันนั้น พระพุทธองค์จึงเสด็จโดยลำพังเพียงพระองค์เดียว ไปยังที่ที่นายพรานทำบ่วงดักสัตว์ไว้  ซึ่งในวันนั้น ไม่มีสัตว์สักตัวเข้าไปติดบ่วงของนายพรานเลย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทใกล้ๆ บ่วงของนายพราน จากนั้นทรงเสด็จไปประทับนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ นั้น นายพรานได้เดินไปตรวจดูบ่วงแต่เช้า ไม่เห็นสัตว์สักตัวเดียวติดบ่วง ทั้งยังเห็นรอยเท้าคนอยู่ใกล้บ่วง จึงเกิดความขัดเคืองใจคิดว่า ต้องมีคนมาปล่อยสัตว์ออกจากบ่วงแน่ นายพรานรีบตามรอยเท้านั้นไป จนพบพระพุทธองค์ประทับอยู่ใต้ร่มไม้ เขาโกรธมาก คิดว่า สมณะองค์นี้แน่ ที่ปล่อยสัตว์หลุดออกจากบ่วง จึงตั้งใจจะฆ่าสมณะองค์นี้  เขาโก่งธนูเล็งลูกศรไปยังพระบรมศาสดาทันที

ด้วยพุทธานุภาพ ทำให้นายพรานปล่อยลูกธนูไปไม่ได้  ครั้นจะลดคันธนูลงก็ลดไม่ได้ ได้แต่ยืนง้างธนูอยู่นานจนเมื่อย จะเปลี่ยนอิริยาบถอื่นก็เปลี่ยนไม่ได้ ลูกๆ ทั้งเจ็ดของนายพรานเห็นว่า สายแล้วพ่อของตนยังไม่กลับบ้าน สงสัยพ่อจะมีอันตราย จึงพากันออกตามหา พบพ่อยืนโก่งธนูหันไปทางพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเขาคิดว่า บุรุษนี้คงจะเป็นศัตรูของพ่อ ลูกของนายพรานทั้ง ๗ คน จึงโก่งธนูเล็งลูกศรไปทางพระบรมศาสดา ทันทีที่โก่งธนูขึ้น ทุกคนก็เหมือนถูกมนต์สะกด พวกเขายืนค้างอยู่เช่นนั้น จะปล่อยลูกธนูก็ไม่ได้ ครั้นจะลดคันธนูลงก็ไม่ได้ หรือแม้จะขยับตัวก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

ฝ่ายธิดาเศรษฐี และลูกสะใภ้ทั้ง ๗ เห็นสามีและลูกชาย ไปนานผิดปกติ จึงพากันออกไปตามหา พบสามีและลูกชายกำลังยืนง้างธนู หันลูกศรไปทางพระบรมศาสดา ธิดาเศรษฐีตกใจรีบพนมมือขึ้นร้องเสียงดังว่า พวกท่านอย่าทำร้ายบิดาของเรา ขอพวกท่านอย่าทำร้ายบิดาของเรา นายพรานได้ยินดังนั้น คิดว่า เป็นพ่อตาของตน  จึงมีจิตอ่อนโยน ส่วนลูกๆ ก็คิดว่า เป็นตาของตน จึงเลิกคิดที่จะยิงธนู

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า คนเหล่านี้มีจิตอ่อนโยนแล้ว จึงทรงคลายฤทธิ์ให้ทุกคนลดธนูลงได้ ธิดาเศรษฐีจึงบอกให้ทุกคนไปกราบขอขมาพระพุทธองค์ และขอให้พระพุทธองค์ ทรงยกโทษให้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา เมื่อแสดงธรรมจบ นายพรานและลูกชาย ลูกสะใภ้ต่างก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งหมด

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับที่ประทับ พระอานนท์ได้ทูลถามถึงการเสด็จไปของพระพุทธองค์ พระบรมศาสดาจึงตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมด พลางตรัสว่า นายพราน ลูกชาย และลูกสะใภ้ มีศรัทธาอันไม่คลอนแคลน เป็นผู้หมดความสงสัยในพระรัตนตรัยแล้ว เขาจะไม่ทำกรรมคือปาณาติบาตอีก

พระภิกษุได้สนทนากันว่า ภรรยาของนายพรานได้บรรลุโสดาบันตั้งแต่ยังเด็ก พอโตเป็นสาวแล้ว หนีตามนายพรานไป นางถูกสามีสั่งให้นำธนู นำลูกศร นำหอก นำหลาว นำบ่วงมา นางก็ทำตาม จากนั้นนายพรานก็นำเครื่องประหารเหล่านั้นไปล่าสัตว์ เหล่าพระภิกษุต่างสงสัยกันว่า แม้พระโสดาบันยังทำปาณาติบาตอยู่อีกหรือ

ขณะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา พลางตรัสถามถึงเรื่องที่พระภิกษุสนทนากัน เมื่อภิกษุกราบทูลเรื่องทั้งหมด พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาพระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต แต่ที่ธิดาเศรษฐีทำอย่างนั้น เพราะคิดว่า จักทำตามหน้าที่ ทำตามคำของสามี แต่จิตของนางบริสุทธิ์   ไม่ได้คิดจะให้สามีไปทำปาณาติบาต เหมือนฝ่ามือที่ไม่มีแผล  ยาพิษก็ไม่อาจให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษฉันใด บาปก็ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าจิตเราบริสุทธิ์ไม่มีเจตนา บาปย่อมไม่มี เพราะบาปเกิดที่ใจ ถ้าใจคิดอกุศล บาปก็เกิดแล้ว แต่ถ้าคิดดี บุญก็เกิด บุญบาปอยู่ที่ใจ หากต้องการจะให้เป็นผู้มีบุญมาก  ให้นำใจหยุดนิ่งตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตลอดเวลา รักษาใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์เสมอ เราจึงจะเป็นผู้มีบุญมาก

ยิ่งถ้าเราทำใจหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ไม่ให้คลาดเคลื่อน    ไม่ช้าเราจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ได้เข้าถึงพระธรรมกาย ที่มีอยู่ในตัวของเรา ความบริสุทธิ์ความสุขที่ไม่มีประมาณจะหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ยิ่งถ้าเราหยุดในหยุด นิ่งในนิ่งต่อไปอีก จิตของเรายิ่งสะอาดบริสุทธิ์จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นผู้อยู่เหนือบาปกรรมทั้งหลาย พ้นแล้วจากวัฏสงสาร  ดังนั้น ให้หมั่นทำใจหยุดนิ่งกันทุกๆ คน

*มก. นายพรานกุกกุฏมิตร เลม ๔๒ หนา ๓๖

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/3162
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๔

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *