มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต – วจีกรรมนำสู่นิพพาน

มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต – วจีกรรมนำสู่นิพพาน

        เราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส กล่าวสดุดีพระสยัมภู ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน พระนามว่าปทุมุตตระ เพราะผลของกรรมนั้น เราจึงไม่ไปอบายภูมิถึงแสนกัป

        ทุกชีวิตที่เกิดมา ล้วนอยู่บนพื้นฐานของความทุกข์ ตั้งแต่ อยู่ในครรภ์ ตอนเคลื่อนออกมา ทั้งผู้ให้กำเนิดก็มีความทุกข์ ด้วยความเจ็บปวด ต่อมาก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วย บางคนมีทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ มนุษย์ล้วนหลีกเลี่ยงความทุกข์เหล่านี้ไม่ได้ แต่จะเอาสิ่งอื่นมาช่วยผ่อนคลายบรรเทาให้เบาบางลงเท่านั้น และอ้างตนเองว่า กำลังมีความสุข

        อย่างไรก็ตาม ยังมีหนทางที่ช่วยดับทุกข์ได้และให้มีแต่ความสุขล้วนๆ นั่นคือเดินตามหนทางสายกลางภายในนั่นเอง ที่อยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของมนุษย์ทุกๆ คน เป็นทางเอกสายเดียวที่นำไปสู่อายตนนิพพาน ที่เป็นทางแห่งความสุข โดยนำใจมาฝึกหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายตรงนี้ให้ได้ตลอดเวลา บุคคลนั้นจะไม่มีความทุกข์ใดๆ มากลํ้ากรายได้เลย

มีธรรมภาษิตที่มาใน อภยเถราปทาน ขุททกนิกาย ว่า

        “เราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส กล่าวสดุดีพระสยัมภู ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน พระนามว่า ปทุมุตตระ เพราะผลของกรรมนั้น เราจึงไม่ไปอบายภูมิถึงแสนกัป เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว เราถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกขาดดังช้างทำลายปลอกแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ  ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำเสร็จแล้ว”

        ทุกชีวิตในโลกนี้ ล้วนตกอยู่ในโลกธรรม ๘ ประการทั้งนั้น คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด จะหนีจากธรรมประจำโลกเหล่านี้ไม่ได้เลย แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังไม่พ้นจากโลกธรรม ๘ ประการไปได้ ฉะนั้นจะกล่าวไปไยถึงปุถุชน ก็ต้องพบสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน อยู่ที่ว่าจะพบมากน้อยแค่ไหนเพียงไร

        ถ้าเราตกอยู่ในโลกธรรมฝ่ายลบหรือฝ่ายอกุศล แทนที่จะน้อยเนื้อต่ำใจ หรือหมดกำลังใจในการทำความดี เราควรที่จะสร้างกำลังใจทำแต่ฝ่ายบวกหรือฝ่ายกุศลให้มากยิ่งขึ้นไป  ดังเช่นพระเถระรูปหนึ่ง ท่านอาศัยดวงปัญญาอันสว่างไสว สร้างกำลังใจขึ้นมาเพื่อทำความดี ทำใจให้ผ่องใส แล้วกล่าวสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญนั้นได้นำพาท่านไปเกิดเฉพาะในสุคติภูมิโลกสวรรค์

        *ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระเถระรูปนี้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในหังสวดีนคร เมื่อเจริญวัยก็เล่าเรียนเจนจบในเวทางคศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาประกอบการศึกษามี ๖ ประการ คือ การออกเสียง ไวยากรณ์ ฉันทลักษณ์ ดาราศาสตร์ การกำเนิดของคำและวิธีจัดทำพิธีกรรม จนท่านเป็นผู้ฉลาดในภาษาต่างๆ 

       วันหนึ่ง ท่านมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา จึงมีใจเลื่อมใส ได้กล่าวสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยถ้อยคำอันเป็นสิริมงคลมากมาย และท่านได้สั่งสมบุญกรรมไว้อย่างมากมายในภพชาตินั้น พอจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ไปบังเกิดในเทวโลกและท่องเที่ยวไปมาเฉพาะแต่ในสุคติภูมิเท่านั้น

        ต่อมาในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้มาบังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ในกรุงราชคฤห์ พระนามว่า อภัยกุมาร ท่านเป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลม เมื่อเจริญวัยแล้วก็มีความคุ้นเคย คบหาสมาคมกับพวกนิครนถ์

        วันหนึ่ง นิครนถ์นาฏบุตรผู้เป็นหัวหน้าคณะ ได้ให้พระกุมารเป็นตัวแทนไปเฝ้าพระบรมศาสดา เพื่อจะยกวาทะกล่าวแย้ง พระกุมารได้ทูลถามปัญหาอันสุขุมลุ่มลึกหลายประการ เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์อันละเอียดจากพระบรมศาสดาแล้ว กลับมีความเลื่อมใส จึงขอบวชในสำนักพระบรมศาสดา ได้ส่งญาณไปตามลำดับความละเอียดของใจ จนได้บรรลุพระอรหัต

        ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุพกรรมของตน เกิดความโสมนัส ถึงกับประกาศเรื่องราวที่ตนเคยอบรมประพฤติมาในกาลก่อน ด้วยความเบิกบานใจว่า

        ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระผู้พิชิตมารผู้รู้แจ้งธรรมทั้งปวง พระนามว่า ปทุมุตตระได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระตถาคตเจ้ายังบุคคลบางพวกให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ ยังบุคคลบางพวกให้ตั้งอยู่ในศีล มีกุศลกรรมบถ ๑๐ อันอุดม พระธีรเจ้าพระองค์นั้น ทรงประทานสามัญผลอันอุดมแก่บุคคลบางคน ทรงประทานสมาบัติ ๘ และวิชชา ๓ แก่บุคคลบางคน พระโลกนาถผู้สูงสุดกว่านรชนพระองค์นั้น ทรงเกื้อกูลผู้มีบุญบางพวก ให้ทรงอภิญญา ทรงประทานปฏิสัมภิทาญาณ ๔ แก่บุคคลบางพวก พระผู้เป็นสารถี ฝึกคนผู้ควรฝึก ทรงเห็นสรรพสัตว์ที่ควรจะนำไปดีให้ได้ตรัสรู้ แม้จะไกล กี่ภพภูมิ กี่โยชน์ พระพุทธองค์ก็เสด็จไปโปรด

        ครั้งนั้น เราเป็นบุตรของพราหมณ์ในพระนครหังสวดี เป็นผู้เรียนจบไตรเพท เข้าใจไวยากรณ์ ฉลาดในนิรุตติ เฉียบแหลมในคัมภีร์นิฆัณฑุ เข้าใจตัวบท รู้ชัดในคัมภีร์เกฏุตะ ฉลาดในฉันท์และกาพย์กลอน เมื่อเที่ยวเดินพักผ่อนไปถึงพระวิหารหังสาราม ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด อันมีมหาชนแวดล้อมบูชา เราได้ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ผู้ปราศจากธุลีกิเลส ซึ่งกำลังแสดงพระธรรมเทศนา เราได้สดับพระดำรัสอันงามของพระองค์ อันปราศจากมลทิน เราไม่ได้ยินพระดำรัสที่ไร้ประโยชน์ของพระมุนี คือคำที่ชักนำไปผิด ทรงมีพระวาจาเป็นหนึ่ง ทรงกล่าวถูกทาง

        เราจึงออกบวช ใช้เวลาไม่นานนักก็เป็นผู้แกล้วกล้าในธรรมทุกอย่าง ได้รับสมมุติให้เป็นเจ้าแห่งหมู่คณะ เป็นผู้ฉลาดในพระพุทธพจน์อันละเอียด เราได้ร้อยกรองคาถา ๔ คาถา ซึ่งมีพยัญชนะสละสลวย ชมเชยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศ ในโลกทั้งสาม พระพุทธองค์ทรงพระเมตตาแสดงธรรมโปรดสัตว์ทุกวัน ทรงเป็นผู้ปราศจากความกำหนัด มีความเพียรมาก ทรงอยู่ในสงสารแต่ไม่ทรงติดข้อง เพราะอาศัยพระมหากรุณา จึงไม่ปรารถนาจะนิพพานโดยพลัน พระมุนีเจ้าผู้ประเสริฐ จึงได้ชื่อว่าทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง

        เพราะเหตุนั้น หมู่สัตว์ที่ได้รับความอนุเคราะห์จึงไม่ตกอยู่ในอำนาจกิเลส มีสัมปชัญญะ เพราะประกอบด้วยสติ ไม่ประมาทในอกุศลธรรม อันนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน เผาธุลีกิเลสด้วยไฟ คือ ญาณอันบริสุทธิ์ บุคคลผู้เลิศเช่นนี้ไม่เคยมีเลย ผู้ใดเป็นที่เคารพบูชาของโลกสาม เป็นผู้เลิศในโลกและเป็นปรมาจารย์ของโลก โลกย่อมอนุวัตรตามผู้นั้น

        เราประกาศพระธรรมเทศนา สรรเสริญเทิดทูนบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระคาถาทั้งหลายตราบจนสิ้นชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้ไปสู่สวรรค์ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปรีชาญาณเพราะเหตุที่ได้ประกอบดีแล้ว ครั้งนั้นเราได้เสวยสมบัติใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก และต่อมาก็ได้เสวยราชสมบัติใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ และเราได้เวียนเกิดแต่ในสองภพ คือ ในเทวโลกและมนุษยโลก โดยไม่ไปสู่คติอื่นเลย    นี้เป็นผลแห่งการกล่าวสรรเสริญพระมหามุนี เราเกิดแต่ในสองตระกูลในมนุษย์ คือ ตระกูลกษัตริย์และตระกูลพราหมณ์  หาเกิดในตระกูลที่ต่ำทรามไม่ นี้เป็นผลแห่งการกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ

        ในภพสุดท้าย เราได้มาเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นอริยบุคคล ในพระนครราชคฤห์อันอุดม มีนามว่า อภัยกุมาร อดีตกรรมบางอย่าง นำเราไปสู่อำนาจของปาปมิตร สมาคมกับเหล่านิครนถ์ แต่บุญกรรมนั้น ได้นำเราให้ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เราทูลถามปัญหาอันละเอียดสุขุมกับพระพุทธองค์ และได้สดับการพยากรณ์แล้ว จึงบวชไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต เราเป็นผู้มีปกติกล่าวสรรเสริญพระชินวรเจ้าทุกเมื่อ เพราะกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้มีร่างกายและกลิ่นปากหอม เพียบพร้อมด้วยความสุขมีปัญญากล้า มีปัญญาร่าเริง  มีปัญญาไว มีปัญญามากและมีปฏิภาณอันวิจิตร

        เห็นไหมว่า การกล่าววาจาสรรเสริญบุคคลที่ควรบูชา ด้วยจิตที่เลื่อมใสอย่างแรงกล้า สามารถเปิดสวรรค์และนำไปสู่นิพพานได้  เมื่อเรารู้แล้วว่าความดีทุกอย่างมีผล เราควรออกแบบชีวิตของเรา ด้วยการสร้างความดี เราอยากให้ชีวิตดำเนินไปในทิศทางใด ก็ควรทำเช่นนั้น อย่างที่เรากำลังสร้างบารมีกันอยู่ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นการออกแบบชีวิตให้กับตัวเอง และเราย่อมจะมีชีวิตสมบูรณ์ในภพชาติต่อไป

*มก. อภยเถราปทาน เล่ม ๗๒ หน้า ๓๙๐  

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/2540
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *