กรรมของคนโกงที่ธรณีสงฆ์

กรรมของคนโกงที่ธรณีสงฆ์ (เป็นเปรตผู้หิวโหยในป่าลึก 4 พุทธันดร)

ชีวิตหลังความตายยังเป็นความลับอยู่ ความไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหนนั้น เปรียบเหมือนคนตาบอดปีนต้นไม้ แล้วพลาดพลั้งตกจากยอดไม้ที่สูงลิบ ขณะที่ร่วงหล่นลงมาก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าจะตกไปกระทบสิ่งใดบ้าง ถ้าตกลงถึงพื้นดินแล้ว แขนขาอาจจะหักหรือจะตายทันที รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่ตายก็คางเหลือง คนส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่มาเป็นมนุษย์ก็ชื่อว่า   พลัดตกไปสู่ความตายทุกเวลา วัน เดือน ปีที่ผ่านไป ได้กลืนกินชีวิต พาเอาความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ จะเหลียวหาคนช่วยแก้ไขให้พ้นจากความตายนั้นก็ไม่มี เพราะทุกคนต่างต้องตายหมด เหลือแต่ว่า เราจะต้องยอมรับความจริงที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ ต้องเตรียมตัวตายอย่างถูกวิธี ด้วยการสั่งสมบุญกุศลให้เต็มที่ อีกทั้งต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของสรรพสัตว์ทั้งในโลกนี้และในปรโลก

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ว่า
“อหํ ภทนฺเต เปตีมฺหิ   ทุคฺคตา ยมโลกิกา
ปาปกมฺมํ กริตฺวาน     เปตโลกมิโต คตา ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเข้าถึงทุคติ เพราะได้ทำบาปกรรมเอาไว้ จึงจากมนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก”

เป็นคำกล่าวของเปรตตนหนึ่งที่ได้สารภาพว่า ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตก็เพราะได้ทำบาปอกุศลเอาไว้ สัตว์โลกส่วนใหญ่ที่มาเกิดในเปตโลก เนื่องจากได้ทำบาปอกุศลเอาไว้มาก ถ้าทำบาปมากชนิดที่ศีล ๕ ขาดหมด ไม่ได้ประพฤติธรรมอะไรเลย ก็ต้องไปเสวยกรรมในมหานรก เมื่อบาปลดหย่อนก็มาที่ขุมบริวาร มาที่ยมโลก แล้วมาเป็นอสุรกาย เป็นเปรต หรือสัตว์เดรัจฉานก็มี แต่บางคนก็ไปเกิดเป็นเปรตเลย ต้องรอคอยหมู่ญาติอุทิศส่วนกุศลไปให้ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากเปตโลกมาเกิดในสุคติภูมิได้

การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก บางครั้งก็พอเข้าใจได้ บางครั้งก็เหลือวิสัย ดังคำกล่าวที่ว่า “กมฺมวิปาโก อจินฺเตยฺโย” วิบากแห่งกรรมของสัตว์ที่ทำกรรมเอาไว้ เป็นเรื่องอจินไตย คือยากที่จะคาดเดาหรือคิดเองได้ แม้ลำพังบารมีญาณของพระสาวกก็ยังไม่สามารถแทงตลอดได้หมด ต้องอาศัยพระพุทธญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะหยั่งรู้ได้แจ่มแจ้ง

หลวงพ่อมีตัวอย่างของผู้ที่ไปเกิดในเปตโลก ที่จะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้ศึกษากัน เป็นบาปกรรมที่เกิดจากความโลภเป็นเหตุ คือ มีความโลภอยากได้จนลืมตัว ไม่ได้คำนึงถึงบาปว่าจะตามมาให้ผลในปรโลก ดังเช่นเปรตผู้หิวโหยโดดเดี่ยวในป่าลึก

* เรื่องมีอยู่ว่า มีเปรตตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก มีสภาพความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมาก คือร่างกายท่อนล่างของเปรตตนนี้ถูกฝังอยู่ในหิน ไม่สามารถจะไปไหนมาไหนได้ ต้องรับทุกขเวทนาอดข้าวอดนํ้า ตากแดดตากฝนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลายาวนานมาก

คราวหนึ่งมีพระภิกษุหลายรูปหลงทางเข้าไปในป่าแห่งนั้น พากันเดินวนเวียนไปมาถึง ๗ วัน ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ทุกรูปต่างได้รับความหิวโหยเป็นกำลัง ในที่สุดก็ได้พบเปรตตนนั้นโดยบังเอิญ ทุกรูปต่างเข้าใจว่าเป็นคนมายืนอยู่ รู้สึกดีใจมาก รีบเข้าไปหาโดยไม่ทันพิจารณาให้ถี่ถ้วน และร้องถามขึ้นว่า “อุบาสก หนทางที่จะเข้าไปในเมืองไปทางไหน พวกเราหลงทางมา ๖-๗ วันแล้ว ไม่เห็นมีทางออกเลย ท่านช่วยบอกหน่อยเถอะ”

เปรตตนนั้นตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า พวกท่านหลงทางอยู่ในป่าหิวกระหายเพียง ๗ วัน ไม่เท่าไรหรอก ยังพอทนได้ แต่ข้าพเจ้าสิ ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากบาปกรรมที่ก่อเอาไว้ อยู่ที่นี่ยาวนานถึง ๔ พุทธันดรแล้ว ข้าวสักเม็ดน้ำสักหยดไม่ได้ตกถึงท้องเลย”

ภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในคำตอบนั้น แต่ด้วยความหิวข้าวหิวนํ้าเป็นกำลัง คิดว่าเปรตพูดเล่น จึงถามยํ้าอีกครั้งว่า “ทำไมพูดอย่างนั้นอุบาสก พวกอาตมาหมดเรี่ยวหมดแรงจริงๆ นะ ไม่มีแรงจะเดินต่อไปอีกแล้ว ช่วยรีบบอกหนทางให้กับอาตมาด้วยเถอะ”  เปรตก็ยังยืนยันว่า “จริงๆ นะ พระคุณเจ้า พระคุณเจ้าทั้งหลายจงพิจารณาดูรูปร่างของข้าพเจ้าให้ดีสิ ข้าพเจ้านี้ไม่ใช่คน ข้าพเจ้าเป็นเปรตที่ต้องทนทุกข์ทรมานจมอยู่ในหินครึ่งตัว ขยับเขยื้อนไม่ได้ ต้องอดข้าวอดนํ้า ตากแดดตากลมอยู่อย่างนี้มาตลอด ๔ พุทธันดร”

เมื่อพระภิกษุสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ต่างขนลุกเป็นหนาม เพราะผู้ที่เห็นอยู่ข้างหน้านั้นเป็นเปรตจริงๆ จึงถามว่า “ท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตน่าเวทนาถึงเพียงนี้”  เปรตเห็นว่าเรื่องราวของตัวจะเป็นประโยชน์ ซึ่งว่าหากอนุชนรุ่นหลังได้ฟังสืบต่อกันไปแล้ว จะได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ และยึดเอาเป็นทิฏฐานุคติ ไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป จึงได้เล่าให้ภิกษุสงฆ์ฟังว่า

“ในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปนี้ คือพระกกุสันโธพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นชาวนา และเขตนาของข้าพเจ้าอยู่ติดกับเขตนาที่เขาอุทิศให้เป็นของสงฆ์ ข้าพเจ้าเองเป็นคนละโมบเห็นแก่ได้ ไม่นึกว่าจะเป็นบาปเป็นกรรม จึงได้ถอนเสาศิลาแบ่งเขตนา แล้วขยับเลื่อนไปปักกินเขตแดนที่นาของสงฆ์ ซึ่งล่วงเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยไม่นึกว่าบาปกรรมจะมีจริง และจะเกิดผลทุกข์ทรมานเช่นที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่นี่แหละ เป็นเหมือนหลักศิลาปักแน่นเคลื่อนไหวไม่ได้”

จากนั้นเปรตได้ยกมือขึ้นชี้บอกทางพระภิกษุทั้งหลายว่า “โน่นแน่ะ ทางไปเมืองที่พระคุณเจ้าประสงค์จะไป” แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อพระคุณเจ้าไปแล้ว ขอจงได้โปรดเมตตาบอกมนุษย์ทั้งหลายด้วยว่า อย่าเอาเยี่ยงอย่างข้าพเจ้า ขึ้นชื่อว่าบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อยอย่าได้กระทำ เพราะผลของบาปน่ากลัวเหลือเกิน ดูตัวข้าพเจ้าเถิด มิเพราะความโลภดอกหรือ จึงต้องมารับทุกข์ทรมานเช่นนี้ ความโลภอันประกอบด้วยความโง่เขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้ว่าบาปบุญมีจริง มีความโลภอยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ ได้เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินสงฆ์อยู่เพียงไม่กี่ปี  แต่ครั้นตายแล้วต้องมาเสวยทุกขเวทนายาวนานถึง ๔ พุทธันดร ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลย

เพราะฉะนั้น ขอให้พระคุณเจ้าช่วยอนุเคราะห์บอกมนุษย์ทั้งหลายว่า  อันสถานที่ที่เป็นของสงฆ์ เช่นที่วัดวาอาราม ที่ธรณีสงฆ์เป็นต้น ซึ่งเขาอุทิศถวายแด่สงฆ์ เป็นสถานที่ที่ควรเคารพ หากไปล่วงละเมิดก็เปรียบเสมือนไฟ เหมือนยาพิษ ใครมีความโลภไปรุกรานหรือเบียดเบียนของสงฆ์แม้เพียงเล็กน้อย ด้วยความไม่รู้หรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา มองไม่เห็นบาปที่จะตามมา ย่อมได้รับโทษร้ายแรงหนักหนา เพราะเป็นสถานที่ที่คนมีศรัทธาเขาอุทิศถวายไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยใจประกอบด้วยจาคะเจตนา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาสุดประมาณ เมื่อมาทำให้บิดเบือนกุศลเจตนาเจ้าของเดิมเสียฉะนี้ ย่อมได้รับโทษเช่นข้าพเจ้าที่กำลังได้รับอยู่นี่แหละ”

เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำของเปรต ก็ได้แต่สลดสังเวช และช่วยกันนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้กับเปรต เพื่อจะได้หลุดพ้นจากอัตภาพอันแสนทุกข์ทรมานนี้ จากนั้นก็ได้อำลาไป และหลุดพ้นจากป่าออกมาได้

เราจะเห็นว่า บาปแม้เพียงเล็กน้อยที่ทำเอาไว้ ไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงติดตามเราไปเหมือนล้อที่หมุนไปตามรอยเท้าโค จะสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด จะหลุดได้ก็ต่อเมื่อกรรมที่ทำเอาไว้หมดไป เพราะฉะนั้น เราอย่าได้ประพฤติผิดศีลผิดธรรม อย่าโลภอยากได้ของคนอื่น อย่าทำตามใจกิเลสจนคุ้น แต่ให้ทำความดีจนเคย จะได้ไม่ต้องพลัดไปเกิดในอบายภูมิ ให้คุ้นกับความดี อย่าไปคุ้นเคยกับบาป เดี๋ยวมันจะติดตามตัวเราไปให้ผลข้ามชาติ ทำให้เป็นอุปสรรคในการสร้างบารมีในภพชาติต่อไป

ส่วนในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เป็นช่วงที่สุขภาพร่างกายของเรายังแข็งแรง ยังมีโรคภัยไข้เจ็บน้อย ควรที่เราจะเพิ่มเติมความดี ความบริสุทธิ์กันให้ได้ทุกวัน ทุกคืน ทุกเวลา ให้ใช้ช่วงโอกาสนี้สร้างบารมีให้ได้มากที่สุด ให้บริสุทธิ์จนกระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัวกันทุกคน เราจะได้มีสุคติเป็นที่ไป

* โลกทีปนี (พระพรหมโมลี)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13350
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *