สูจิโลมยักษ์

สูจิโลมยักษ์ (พระพุทธองค์ทรงโปรดสูจิโลมยักษ์)

บรรดาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนไม่จีรังยั่งยืน และก็เป็นของชั่วครั้งชั่วคราว สมบัติที่มีอยู่เป็นเพียงเครื่องอาศัยให้ผู้มีบุญได้ใช้สร้างบารมี เมื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นต่อไปไม่ได้แล้วก็จำต้องละทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของแก้วแหวนที่หวงแหน หรือว่าจะมีบริวารมากมายเพียงไร ในที่สุด ก็ต้องละทิ้งจากสิ่งเหล่านี้ไป แต่กรรมที่เราได้ทำไว้ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กรรมนั้นแหละที่จะเป็นของๆ เรา ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมไม่ดี สิ่งนั้นจะติดตามตัวเราไปเหมือนเงาตามตัว และให้ผลได้ทั้งในปัจจุบันชาตินี้ ในสัมปรายภพ และจะคอยให้ผลในภพชาติต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นควรที่เราจะเลือกสั่งสมแต่กรรมดีติดตัวไปในภพเบื้องหน้ากัน

มีวาระพุทธสุภาษิตที่มาใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่า
“บุคคลในโลกนี้ผู้มีความมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง แม้ถูกว่าเพียงเล็กน้อยก็ขัดเคือง มีอาการขึ้งเคียด มีความพยาบาทมาดร้าย เมื่อเขาตายจากโลกนี้ไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หากแม้นไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เมื่อไปสู่กำเนิดใด ก็จะมีผิวพรรณทราม”

คนมักโกรธหงุดหงิดโมโหง่าย มักจะมีกรรมอยู่อย่างหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ จะมีผิวพรรณหยาบกระด้างไม่ประณีต ดูแล้วไม่น่าเลื่อมใส คราวที่แล้วหลวงพ่อได้พูดถึงเรื่องของยักษ์ตนหนึ่ง ที่ชื่อสูจิโลมะ ยักษ์ผู้มีขนแข็งเหมือนเข็มทิ่มแทงตนเอง และที่ไปเกิดเป็นยักษ์ชั้นต่ำ เพราะว่าไม่ได้ให้ความเคารพเอื้อเฟื้อต่อศาสนสมบัติของสงฆ์ และมีอัธยาศัยหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย

ยักษ์มีหลายประเภท มีหลายระดับชั้น ตั้งแต่ยักษ์ชั้นสูง ยักษ์ชั้นกลาง ลงไปจนถึงยักษ์ชั้นล่าง ยักษ์ที่เป็นอริยบุคคลก็มี เช่นพระเจ้าพิมพิสารที่เราคุ้นชื่อกันดี ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน แต่ว่าท่านชอบที่จะมาเป็นยักษ์เพราะว่าคุ้นเคย ก็เลยได้มาเกิดเป็นยักษ์ชั้นสูงอยู่ในระดับยักษ์ผู้ปกครอง

ยักษ์ที่ได้เข้าถึงไตรสรณคมน์ก็มี ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก  เพราะได้ทำบุญเอาไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นยักษ์ใจบุญ ชอบประพฤติธรรม ชอบทำบุญ แต่ว่าเวลาทำบุญมักจะหงุดหงิดง่าย คือจะมีเรื่องจุกจิกกวนใจ  ที่ทำให้ต้องหงุดหงิดอยู่เรื่อยๆ ทำให้ขุ่นมัวขัดเคืองใจ บุญก็ได้แต่ว่ามีวิบัติเจือเข้ามาด้วย จึงได้บุญไม่เต็มที่ ไม่บริสุทธิ์ล้วนๆ มีบาปเข้ามาเจือ ดังนั้นแทนที่จะได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กำลังบุญก็ไปได้แค่ชั้นจาตุมหาราชิกา

ส่วนยักษ์ที่เป็นฌานลาภีก็มี คือสมัยเป็นมนุษ์ได้โลกียฌานแต่ก็มักโกรธ ที่เป็นยักษ์กัลยาณชนก็มี เป็นยักษ์ปุถุชนก็มี ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิก็มี หลากหลายเหมือนอย่างมนุษย์เรานี่แหละ แต่ว่าวันนี้จะไม่ลงในรายละเอียด จะพูดถึงเรื่องของสูจิโลมะยักษ์ต่อ ที่ได้เลื่อนชั้นจากยักษ์ชั้นต่ำมาเป็นยักษ์ชั้นสูง เพราะได้ยอดกัลยาณมิตรของโลกไปแนะนำ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไปโปรด เลยเลื่อนชั้นจากยักษ์ปุถุชน มาเป็นยักษ์อริยบุคคล

* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปราบพยศของยักษ์ด้วยวิธีการใด และโปรดด้วยวิธีการอย่างไร ตรงนี้น่าสนใจ เพราะเป็นเหตุทำให้สูจิโลมยักษ์บรรลุมรรคผลอันยอดเยี่ยมได้ เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรวจตราดูสัตว์โลกผู้ควรจะเสด็จไปโปรด เห็นสูจิโลมยักษ์เข้ามาในข่ายพระญาณ และเห็นว่ายักษ์ตนนี้ได้รับทุกข์ทรมานในอัตภาพของยักษ์มายาวนานถึงหนึ่งพุทธันดร คือตั้งแต่ในยุคสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า จนมาถึงยุคสมัยของพระองค์ท่าน พระพุทธองค์ทรงหวังจะอนุเคราะห์ จึงเสด็จไปที่อยู่ของยักษ์

ที่อยู่ของยักษ์ตนนี้เราก็รับทราบกันแล้วว่า อยู่ที่กองขยะนอกประตูหมู่บ้าน ที่มนุษย์เอาขยะมาทิ้ง มันเป็นสถานที่น่ารังเกียจ มีกลิ่นเหม็น แต่พระองค์ไม่ได้นึกรังเกียจ เพราะมีน้ำพระทัยยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่มีประมาณอยู่แล้ว พระองค์เสด็จไปประทับนั่งอยู่บนตั่งของยักษ์

เมื่อสูจิโลมยักษ์กับขรยักษ์ซึ่งเป็นเพื่อนกันกลับมาจากการหาอาหาร ขรยักษ์เห็นก่อนก็ทักว่า “มีสมณะมาเยี่ยมท่าน”  สูจิโลมยักษ์ก็เข้าไปหา  ทำท่าเหมือนกับจะจับพระองค์ และได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง ยักษ์ก็ข่มขวัญว่า “ท่านกลัวรึ”  พระพุทธองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เราไม่ได้กลัว แต่กลิ่นตัวของเจ้าและผิวของเจ้านั้นมีสัมผัสหยาบ”

ไม่น่าเชื่อว่าความสงบนิ่งของพระพุทธองค์ จะทำให้สยบความก้าวร้าวของยักษ์ลงได้ เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นข้อคิดได้อย่างหนึ่งว่า ในการแก้ไขปัญหาบางอย่าง บางทีเราต้องเอาชนะด้วยความสงบนิ่ง อาศัยความสงบสยบปัญหา เมื่อพระบรมศาสดาอยู่ในอาการสงบ ยักษ์เปลี่ยนใจจากจะขับไล่ก็เปลี่ยนใจมาฟังธรรมแทน

ยักษ์ได้ถามธรรมะว่า “ราคะและโทสะ มีอะไรเป็นเหตุ ความยินดี ความไม่ยินดี และความสยดสยองเกิดจากอะไร ความตรึกในใจเกิดแต่อะไร จึงดักจิตไว้เหมือนพวกเด็กดักกา”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ราคะและโทสะมีอัตภาพเป็นเหตุ เพราะอัตภาพนี้ได้รวมเอาไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นเหตุทำให้บุคคลเกิดราคะและโทสะ เมื่อได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส และได้ถูกต้องสัมผัส

ความยินดี ความไม่ยินดี และความสยดสยอง ล้วนเกิดมาจากอัตภาพนี้ อัตภาพร่างกายมีรูปที่ให้ความยินดีก็มี ที่ให้ความไม่น่ายินดีก็มี และรูปที่ทำให้เกิดความน่าสยดสยองก็มี ความตรึกในใจเกิดแต่อัตภาพนี้ ที่ดักจิตเอาไว้เหมือนพวกเด็กดักกา

อกุศลวิตกเป็นอันมากเกิดเพราะความเยื่อใยในตัณหา เมื่อเกิดแล้วก็ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนเถาย่านไทรที่เกิดที่โคนต้นไทร แล้วแผ่ปกคลุมไปทั่วต้นไทร ชนเหล่าใดรู้การเกิดของอัตภาพที่กุศลและอกุศลกรรมปรุงแต่ง ชนเหล่านั้นย่อมบรรเทาเหตุเกิดนั้นเสียได้ และย่อมข้ามห้วงกิเลสที่ข้ามได้โดยยาก”

ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา สุจิโลมยักษ์มีดวงตาเห็นธรรม ได้เป็นพระโสดาบันบุคคลในอัตภาพยักษ์ แล้วอัตภาพร่างกายก็เปลี่ยนไป ผิวหนังที่หยาบขรุขระก็กลายเป็นผิวกายที่ละเอียดประณีต ขนแหลมแข็งยาวก็หายไป  จากที่ไม่นุ่งผ้าก็มีผ้าทิพย์ห่มกาย มีผ้าโพกศีรษะที่เป็นทิพย์ ทรงเครื่องประดับของหอมและมาลัยทิพย์

บุญที่ได้บรรลุธรรมนั้น ทำให้ได้เลื่อนชั้นเป็นยักษ์ชั้นสูง เป็นผู้ปกครอง ได้ปกครองภุมเทวาในเขตที่ตนอาศัยอยู่ทั้งหมด วิมานที่อยู่อาศัยก็ประณีตสวยงามขึ้น อาหารการกินก็มีโอชารสประณีตยิ่งขึ้น ทุกอย่างดีขึ้นไปตามกำลังบุญที่เพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น บุญจากการที่ได้บรรลุธรรมนี้เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญกว่าทุกอย่าง จะทำให้เราพ้นจากทุกข์เข้าถึงความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้บรรลุพระนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ที่ไม่มีความทุกข์อื่นเข้าไปเจือปน เป็นบรมสุขคือสุขอย่างยิ่งสุขอย่างเดียว

ความสุขเป็นสิ่งที่เราทุกคนปรารถนา ถ้าอยากได้ความสุขที่แท้จริงก็ต้องหยุดนิ่งให้ได้ หมั่นเจริญสมาธิภาวนาฝึกใจให้หยุดนิ่งให้สนิท ให้เข้าไปถึงของจริงที่มีอยู่ภายใน คือเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว แล้วเราจะเป็นเจ้าของความสุขที่แท้จริง พ้นจากทุกข์พ้นจากอบาย พ้นจากภัยในวัฏสังสาร เราจะมีความสุขสมปรารถนากันทุกคน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13272
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *