พระศรีอริยเมตไตรย

พระศรีอริยเมตไตรย (กำเนิดพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์)

การไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เป็นการไปเสวยผลบุญ หรือย้ายที่อยู่ใหม่ ซึ่งเป็นที่พักระหว่างทางของการสร้างบารมี ตราบใดยังไม่หมดกิเลส ยังไปสู่อายตนนิพพานไม่ได้ เมื่อกายมนุษย์หยาบไม่เอื้ออำนวยที่จะสร้างบารมีอยู่ในโลกอีกต่อไป ก็ต้องเดินทางออกจากร่างเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ กายพรหม หรือกายอรูปพรหมตามแต่กำลังบุญ และความละเอียดของใจที่ทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เหมือนกับว่าถ้าหากเราอยากมีทรัพย์สมบัติมาก ก็ต้องขยันทำงาน ถ้าอยากได้กายที่ละเอียดประณีต เสวยสุขได้ยาวนาน ก็ต้องประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต นั่นคือต้องฝึกฝนใจให้สะอาดบริสุทธิ์ให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ

* มีถ้อยคำอันเป็นอาสภิวาจาที่พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์กล่าวไว้ว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอจงทรงหยุดพระธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้เถิด พระธรรมเทศนาทั้งปวงนั้น มีพระนิพพานสิ่งเดียวเป็นที่สุด บัดนี้ ข้าพระบาทจะตัดเศียรเกล้ากับมงกุฏ กระทำสักการบูชาพระธรรมเทศนาของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าสิริมาผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงเสด็จสำราญในอมตมหานิพพานไปก่อนเถิด ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระองค์ไปในภายหลัง ด้วยเดชะแห่งผลสักการบูชาของข้าพระบาทนี้”

เมื่อกล่าวถึงพระศรีอริยเมตไตรยพวกเราคงรู้จักกันดีทุกคน เพราะว่าท่านคือนิยตโพธิสัตว์ผู้ที่จะเสด็จอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัทรกัปนี้  ซึ่งพุทธศาสนิกชนมักจะกล่าวถึงท่านบ่อยๆ และมีผู้มีบุญจำนวนไม่น้อยที่ทำบุญกุศลแล้ว ได้อธิษฐานจิตขอให้ไปบังเกิดในยุคสมัยของท่านซึ่งมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในปัจจุบันนี้พระบรมโพธิสัตว์ ยังสถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต รอคอยเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะลงมาสร้างบารมีให้แก่รอบบนโลกมนุษย์ และบำเพ็ญปัญจมหาบริจาค เหมือนพระเวสสันดรโพธิสัตว์อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นท่านจะกลับไปชั้นดุสิตอีก และเมื่อถึงเวลาอันสมควร คือยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุขัย ๘ หมื่นปี ท่านจึงจะจุติลงมาอุบัติเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พวกเราอาจสงสัยว่า พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นี้ ทรงสั่งสมบารมีอะไรเอาไว้เป็นพิเศษ ทำไมใครๆ จึงกล่าวขวัญถึงและอยากไปเกิดในยุคสมัยของท่าน เนื่องจากพระบรมโพธิสัตว์พระองค์นี้ ท่านสร้างบารมีประเภทวิริยาธิกพุทธเจ้า คือเป็นผู้ยิ่งด้วยความเพียร ใช้เวลานานถึง ๘๐ อสงไขย เมื่อแรกจะทรงปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านได้ทำปรมัตถมหาทานบารมีอันประเสริฐ หาผู้ใดผู้หนึ่งเสมอเหมือนมิได้ ซึ่งมีเรื่องเล่าปรากฏอยู่ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ เป็นประวัติการสร้างบารมีอันยิ่งยวดของท่าน ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจมากทีเดียว

ในยุคสมัยของพระสิริมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระศรีอริยเมตไตรยบังเกิดเป็นพระเจ้าสังขจักร ทรงปกครองอินทปัตถราชธานี ขณะนั้นพระองค์ยังไม่ทรงทราบว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ต่อมามีสามเณรรูปหนึ่ง ไปเที่ยวบอกบุญหาทรัพย์เพื่อจะไถ่ถอนมารดา ซึ่งเป็นทาสีอยู่ในตระกูลเศรษฐีท่านหนึ่งให้เป็นไท ครั้นเดินทางไปถึงกรุงอินทปัตถ์  ชาวเมืองเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยักษ์ เพราะเห็นนุ่งห่มแปลกประหลาด จึงช่วยกันรุมจับสามเณร สามเณรตกใจกลัวจึงวิ่งหนีเข้าไปในท้องพระโรง

พระเจ้าสังขจักรจึงตรัสถามว่า เป็นใคร มาจากไหน ครั้นทรงทราบว่าเป็นสามเณรน้อย สาวกของพระสิริมาพุทธเจ้า ทรงปีติใจเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงราชาภิเษกสามเณรนั้นให้ครองราชสมบัติแทนพระองค์ ส่วนพระองค์ได้เสด็จดำเนินเพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตามลำพัง เนื่องจากทรงเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทไปได้ไม่นาน พระบาททั้งสองก็ฟกชํ้า จึงเสด็จคลานด้วยพระชงฆ์และพระหัตถ์ทั้งสอง ครั้นเสด็จเดินทางล่วงไปอีกสามวัน พระชงฆ์และพระหัตถ์ก็แตก โลหิตไหลไม่หยุด แต่ในใจนั้นก็ยังทรงเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นที่จะไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ แม้เดินไม่ได้ก็ยังมีความวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้า ค่อยๆ กระเถิบไปด้วยพระอุระ ไม่ยอมหยุดพักระหว่างทาง พระราชาได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ก็มิได้ทรงย่อท้อที่จะมุ่งหน้าไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นกำลังวิริยะของพระเจ้าสังขจักรด้วยพุทธญาณ ทรงทราบว่าเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร จึงทรงอนุเคราะห์ด้วยการปาฏิหาริย์กาย แปลงกายเป็นมาณพหนุ่มขับรถมาช่วยพาไปส่ง ในระหว่างทาง นางสุชาดาลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แปลงกายเป็นชายหนุ่มถือห่อข้าวทิพย์มาแบ่งปันให้พระเจ้าสังขจักรได้เสวย ส่วนพระอินทร์ได้แปลงกายเป็นบุรุษถือเอากระบอกน้ำมาให้ พระองค์ทรงบริโภคโภชนาหารและน้ำเป็นที่สบาย หายบอบช้ำ จากนั้นเมื่อถึงวัดแล้ว ทรงดำเนินเข้าไปในพระวิหารใหญ่เพื่อเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้นเสด็จเข้าไปถึงทรงทอดพระเนตรเห็นพระสิริมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในพระวิหาร มีพระรัศมีสว่างรุ่งเรือง ก็ทรงเกิดปีติยินดีเป็นล้นพ้น จนถึงแก่วิสัญญีภาพสลบไป เมื่อทรงฟื้นได้สติขึ้นมาแล้ว ก็น้อมพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ยกอัญชลีกรประนมเหนือพระเศียรเกล้า ตรัสว่า “ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า” ตรัสได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ก็ทรงนิ่งอึ้งมิอาจตรัสคำอื่นได้อีก ด้วยความตื้นตันปีติปราโมทย์ในพระทัย

พระบรมศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนมหาบพิตรผู้ประเสริฐ บัดนี้ขอพระองค์จงตั้งพระมนัสกำหนด ตถาคตจักแสดงธรรมแก่ท่าน ขอจงกำหนดในใจด้วยดีเถิด” แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่ว่าด้วยคุณของพระนิพพาน  ครั้นพระองค์ทรงแสดงได้เพียงบทเดียวเท่านั้น พระเจ้าสังขจักรทรงกลัวว่าตนเองจะบรรลุอรหันต์ แล้วไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงห้ามการแสดงธรรม และทรงดำริว่า “เครื่องไทยธรรมที่สมควรแก่พระธรรมเทศนานั้นก็มิได้มี แต่บัดนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงคุณของพระนิพพานอันยิ่งใหญ่ ซึ่งต้องคู่ควรแก่เครื่องสักการบูชาที่เรามีอยู่ ด้วยว่าพระนิพพานอันเป็นอมตะ เป็นที่สุดแห่งโลก เศียรเกล้าของเราพร้อมทั้งมหามงกุฎก็เป็นที่สุดแห่งโลก ควรที่เราจะกระทำสักการบูชาพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ด้วยสิ่งที่เลิศที่สุดของเรานี่แหละ”

ครั้นดำรินี้ จึงทรงกราบทูลพระสิริมาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะของโลก ขอจงทรงหยุดพระธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้เถิด พระธรรมเทศนาทั้งปวงนั้น มีพระนิพพานสิ่งเดียวเป็นที่สุด บัดนี้ ข้าพระบาทจะถวายเศียรเกล้ากับมงกุฏ กระทำสักการบูชาพระธรรมเทศนาว่าด้วยนิพพาน ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าสิริมาผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงเสด็จสำราญในอมตมหานิพพานไปก่อนเถิด ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระองค์ไปในภายหลัง ด้วยเดชะแห่งผลสักการบูชาของข้าพระบาทนี้”

เมื่อพระเจ้าสังขจักรทรงตั้งพระปณิธานแล้ว ก็ทรงชักพระขรรค์ตัดพระศอขาด แล้วถือชูบูชาไว้ สิ้นพระชนมายุต่อหน้าพุทธบริษัทจำนวนมากที่มาฟังธรรม อานิสงส์แห่งการถวายเศียรและมงกุฏเพชรเป็นไทยธรรมด้วยจิตที่เลื่อมใสในครั้งนั้น ทำให้ท่านได้ไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงท่องเที่ยวในวัฏสงสาร และสร้างบารมีอย่างยิ่งยวดเรื่อยมา มาถึงสมัยพุทธกาลของพวกเรา พระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ท่านก็ได้จุติมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางกาญจนเทวี มเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรู มีนามว่า พระอชิตกุมาร เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ ปี ทรงผนวชเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้รับพุทธพยากรณ์ว่า “พระอชิตภิกษุผู้บวชใหม่นี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า ศรีอริยเมตไตรยในที่สุดแห่งภัทรกัปนี้”

ท่านอชิตภิกษุหนุ่มผู้มีพุทธบารมีนั้น ครั้นได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็เกิดความปีติใจ ได้ตั้งใจฝึกหัดขัดเกลาตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อดับขันธ์ถึงแก่มรณภาพแล้ว ก็มาอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ซึ่งมีสมเด็จท้าวสันดุสิตเทวราชเป็นผู้ปกครองภพดุสิตอยู่ในขณะนี้

นี่เป็นตัวอย่างการสร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย เมื่อท่านมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะแล้ว แม้ชีวิตก็ยอมสละเพราะสิ่งที่กลับคืนมานั้น คือโพธิญาณอันประเสริฐ พวกเราทั้งหลายเป็นนักสร้างบารมี เราก็ต้องมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ มุ่งจะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครไปถึง ด้วยมุ่งหวังจะช่วยกันรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เส้นทางการสร้างบารมีก็ต้องเข้มข้นยิ่งไปกว่านั้นอีก  แต่ถึงแม้ไม่ต้องตัดศีรษะ ก็ต้องตัดความตระหนี่ในใจของตัวเราให้ได้ ใจของเราต้องขยายกว้างขวาง พร้อมที่จะเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล รองรับสายธารแห่งบุญที่หลั่งไหลมาจากพระนิพพาน และหมั่นนั่งธรรมะกันให้มากๆ เกิดมาชาตินี้ต้องเข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวให้ได้ จะได้เป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะได้กลับไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตกันทุกคน

* พระคัมภีร์อนาคตวงศ์ (พระกัสสปเถระ)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13723
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “พระศรีอริยเมตไตรย”

  1. ✨น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌼🌺🌸💮🌟🌷🌟💮🌸🌺🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *