ยักษ์ประเภทต่างๆ

ยักษ์ประเภทต่างๆ (ยักษ์อดีตพระเจ้าพิมพิสาร)

ในชีวิตประจำวันเราต้องเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัวและเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชีวิตของผู้ครองเรือน ส่วนโอกาสที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อมุ่งทำความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้บังเกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หาเวลาได้ยากยิ่ง ดังนั้นเราจะต้องรู้จักบริหารเวลา จัดสรรเวลาเพื่อการปฏิบัติธรรม เพราะช่วงเวลาแห่งการทำใจหยุดใจนิ่งนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าและก่อให้เกิดบุญกุศลอย่างมหาศาล ใครทำอย่างนี้ถือว่าเป็นผู้ฉลาดและไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต บุญบารมีก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ได้ในที่สุด

มีถ้อยคำที่ยักษ์ตนหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
* “ข้าพระบาทเข้าถึงความเป็นสหายของท้าวเวสสวัณมหาราช ข้าพระบาทจุติจากนี้แล้ว สามารถเป็นพระราชาในหมู่มนุษย์อีก ข้าพระบาทเคลื่อนจากเทวโลกนี้ ๗ ครั้ง จากมนุษยโลก อีก ๗ ครั้ง รวมท่องเที่ยวไปอยู่ในระหว่าง ๒ โลกนี้ ๑๔ ครั้ง จึงคุ้นเคยกับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาที่เคยอยู่มาก่อน”

นี่เป็นถ้อยคำของยักษ์ผู้มีอานุภาพมากตนหนึ่ง ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นจอมเทพอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา แต่ก็เป็นสหายของท้าวมหาราชทั้ง ๔ และถ้อยคำนี้เป็นการยืนยันการเลือกเกิดในสวรรค์ว่า ถ้ามีบุญมากแล้ว อยากไปเกิดในสวรรค์ชั้นไหนก็ได้แล้วแต่ใจจะปรารถนา แต่ยักษ์ตนนี้ปรารถนาที่จะมาเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะคุ้นเคยกับการบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้มาหลายครั้งแล้ว ยักษ์ตนนี้ชื่อ ชนวสภยักษ์ ซึ่งในอดีตก็คือพระเจ้าพิมพิสาร พระบิดาของพระเจ้าอชาตศัตรู ก่อนที่เราจะได้รับฟังความหลากหลายของยักษ์ เรามาฟังเรื่องราวยักษ์ชั้นสูงอย่างชนวสภยักษ์กันก่อน

คราวหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ เธอเคยได้ยินชื่อ ชนวสภยักษ์ มาก่อนบ้างไหม” พระอานนท์กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่เคยได้ยินชื่อของยักษ์ตนนี้มาก่อนเลย พอได้ยินเข้าก็ขนลุกชูชัน ข้าพระองค์คิดว่า ผู้มีนามว่า ชนวสภยักษ์นี้ ต้องไม่ใช่ยักษ์ชั้นต่ำ ต้องเป็นยักษ์ชั้นสูงเป็นแน่ พระเจ้าข้า”

พระบรมศาสดาตรัสเล่าว่า ในสมัยหนึ่งพระองค์ได้เข้าจุตูปปาตญาณ ตรวจดูด้วยพุทธจักษุเพื่อดูการไปเกิดมาเกิดของชาวมคธว่า ชีวิตหลังความตายนั้นได้ไปบังเกิดที่ไหนกันบ้าง โดยเฉพาะในวันนั้น พระองค์ได้ตรวจดูพระเจ้าพิมพิสารว่า เมื่อถูกพระเจ้าอชาตศัตรูทำปิตุฆาตแล้ว ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน และได้ทำบุญเอาไว้มากมาย อีกทั้งได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว พระองค์ได้ไปบังเกิดที่ไหน

ในคืนนั้นเอง ได้มียักษ์ตนหนึ่ง มีผิวพรรณผุดผ่อง รูปร่างหน้าตาสวยงามมากเป็นพิเศษ มีรัศมีซ่านออกจากกาย ประหนึ่งว่าจะรู้วาระจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระบาทมีนามว่า ชนวสภยักษ์ ข้าแต่พระสุคตเจ้า แต่ก่อนนี้ ข้าพระบาทมีนามว่า พิมพิสาร ขณะนี้ได้เข้าถึงความเป็นสหายของท้าวเวสสวัณมหาราช ข้าพระบาทจุติจากอัตภาพนี้แล้ว สามารถเป็นพระราชาในหมู่มนุษย์อีก ข้าพระบาทเคลื่อนจากเทวโลกนี้ ๗ ครั้ง จากมนุษยโลกอีก ๗ ครั้ง รวมท่องเที่ยวไปอยู่ในระหว่าง ๒ โลกนี้ ๑๔ ครั้ง จึงคุ้นเคยภพที่เคยอยู่มาก่อน

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทมีความไม่ตกต่ำ อนึ่งข้าพระบาทตั้งความปรารถนาไว้ว่า จักเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระสกิทาคามีในอนาคต ข้าพระบาทเป็นผู้ไม่ตกต่ำเมื่อเข้าประชุมในสุธรรมมาเทวสภา ณ ราตรีวันเพ็ญ  วัสสูปนายิกา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเทพบริษัทประชุมมากมายนั่งอยู่โดยรอบข้างหลัง ถัดจากอาสนะของท้าวมหาราชทั้งสี่ก็เป็นอาสนะของข้าพระบาท”

นี่คือคำกราบบังคมทูลของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าอชาตศัตรู ราชาธิบดีแห่งพระนครมคธในครั้งพุทธกาล ซึ่งไปบังเกิดเป็นยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่นามว่า ชนวสภะ อันที่จริงพระองค์เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน จะเสด็จไปบังเกิดเป็นเทพในสรวงสวรรค์ชั้นที่สูงกว่านี้ก็ได้ เพราะพระองค์ได้สั่งสมบุญไว้มากมาย ได้ถวายเวฬุวันมหาวิหารซึ่งเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา แต่ที่พระองค์เสด็จมาบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ก็เพราะเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนและปรารถนาจะอยู่ที่นี่อีก ด้วยความคุ้นเคยนั่นเอง

เรามาดูระบบสังคมของยักษ์ว่า มีความเป็นอยู่กันอย่างไร ยักษ์แบ่งเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือยักษ์ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นล่าง ถ้ายักษ์ชั้นสูงจะยินดีในการรักษาศีล จะแต่งชุดขาว ผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีรัศมีกายที่สว่างไสว และความละเอียดประณีตก็จะดีกว่ายักษ์ที่ไม่รักษาศีล หน้าตาก็ไม่น่ากลัว เป็นยักษ์ใจดี ยักษ์พวกนี้เมื่อละจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว ถ้ามีบุญมากพอก็จะเลื่อนขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไปได้ เหมือนชนวสภยักษ์ที่เป็นอดีตพระเจ้าพิมพิสาร

ยักษ์มีหลากหลายความเชื่อ เขาจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ บางพวกก็เป็นพุทธศาสนิกชน จะเป็นยักษ์ใจดี ไม่ยินดีในการเบียดเบียน บางพวกก็ชอบไสยศาสตร์เวทมนต์คาถาอาคมเอาไว้ต่อสู้กัน เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี ยักษ์พวกนี้แหละที่ท้าวเวสสวัณต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะไม่ประสงค์จะให้มาทำร้ายมนุษย์ โดยเฉพาะกับผู้ทรงศีลประพฤติธรรม

การบังเกิดขึ้นของยักษ์ เกิดได้ ๓ แบบ คือแบบโอปปาติกะ คือเกิดปุ๊บโตทันที เกิดแบบชลาพุชะ คือเกิดในครรภ์แบบมนุษย์ มีพ่อมีแม่ เมื่อยักษายักษีเกิดความพอใจ ก็แต่งงานกัน จากนั้นก็อยู่ร่วมกันเหมือนมนุษย์ แล้วก็ตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง ส่วนที่เกิดแบบสังเสทชะคือ ยักษ์จะเอามือถูเหงื่อไคล พอถูกส่วน ปฏิสนธิวิญญาณที่มีวิบากกรรมร่วมกันมา ก็จะมาอุบัติเกิดเป็นยักษ์ทันที อย่างนี้ก็มี

ยักษ์มีการปกครองเป็นแบบหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด คล้ายในโลกมนุษย์นี่แหละแต่ว่าซับซ้อนกว่ามาก โดยมีท้าวเวสสวัณ เป็นผู้จัดสรรพื้นที่ให้ ที่ต้องแบ่งกันเป็นเขตๆ อย่างนี้ จะได้ไม่ทะเลาะกันเอง เพราะเขายังไม่หมดกิเลส บางพวกเสวยบุญ บางพวกเสวยกรรม ถ้าไม่มีฤทธิ์ก็จะทะเลาะกันเหมือนมนุษย์ ถ้ามีฤทธิ์ เช่นมีเวทมนต์คาถา ก็สามารถเนรมิตกาย ใช้ฤทธานุภาพเข้าประทุษร้ายกันก็ได้

อาวุธประจำกายของยักษ์ชั้นสูงจะเป็นกระบองเพชรมีรัศมีสว่าง บางทีเหมือนสากตำข้าวแต่มีรัศมี บางทีเป็นหอก เป็นพระขรรค์ทองคำฝังรัตนชาติ ถ้ายักษ์ชั้นกลางก็เป็นเพียงอาวุธประจำกาย อานุภาพก็ลดลงมา ส่วนยักษ์ชั้นล่างไม่มีอาวุธพิเศษใดๆ เมื่อทะเลาะกันแล้ว หัวหน้าเขตก็จะเข้าไปห้าม คอยไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน ถ้าใครผิดก็โดนลงโทษลงทัณฑ์กันไป

ปัญหาของพวกยักษ์นี้มีมากมาย เพราะเป็นพวกเจ้าโทสะ นอกจากเรื่องแย่งคู่ครองกันแล้ว ยังมีเรื่องแย่งเขตแดน เรื่องแย่งอาหารบ้าง ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็คล้ายๆ ของมนุษย์ ส่วนยักษ์ที่อยู่ในนํ้าก็มีตั้งแต่ห้วยหนอง คลองบึง ไปถึงทะเล มหาสมุทร ยักษ์ในมหาสมุทรตัวใหญ่มาก มียศ มีอธิปไตย ถ้าอยู่ตามห้วยหนอง คลองบึง ก็ตัวเล็กลงมา ถ้าหากสัตว์หรือมนุษย์ที่เคยมีเวรมีกรรมกันมา แล้วหลุดเข้ามาในบริเวณนั้น ก็จะถูกยักษ์จับกินเป็นอาหารได้ แต่กรรมที่ตามมาให้ผลกับยักษ์ตนนั้นก็คือ ตัวเองจะต้องลงไปช่วยราชการในยมโลก หรือบางครั้งก็ไปเป็นเจ้าหน้าที่ในยมโลก เพื่อช่วยทรมานสัตว์ในนรกที่ทำบาปกรรมเอาไว้ แต่ยักษ์บางประเภทก็ถือศีล จึงไม่ทำร้ายมนุษย์

ผู้ที่ทำบุญแล้วหงุดหงิด มักจะมาบังเกิดเป็นยักษ์ ถ้าบุญมากก็เป็นยักษ์ชั้นสูง มีความเป็นอยู่เหมือนชาวสวรรค์ แต่ถ้าโกรธก็จะกลายเป็นยักษ์ ถ้าบุญน้อยก็เป็นยักษ์ชั้นล่าง หรือเป็นยักษ์อยู่บนพื้นมนุษย์ เป็นยักษ์ชั้นตํ่าคอยกินอาหารที่มนุษย์นำมาเซ่นไหว้ หรือคอยกินซากศพของเน่า ถ้าใครทำบุญด้วยใจที่ขุ่นมัว มีสิทธิ์จะไปอยู่ตรงนี้ หรือหากมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้รูปสมบัติที่เจือด้วยวิบัติ คือ ได้รูปกายที่ไม่สมส่วน ผิวหยาบกร้าน มีไฝฝ้าเต็มตัว มีลูกน้องบริวารก็มักจะทำให้หงุดหงิด คือลูกน้องช่วยทำให้หงุดหงิดโมโหด้วย หากจะได้สมบัติหรือสิ่งของ ก็จะได้ของไม่ประณีต นี่คือผลของการให้ทานด้วยใจขุ่นมัว

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากไปเกิดเป็นยักษ์ ให้หมั่นรักษาใจใสๆ ทำบุญก็ให้เป็นบุญล้วนๆ อย่าให้ความโกรธหรืออารมณ์เจ้าโทสะเข้ามาครอบงำจิตใจ ก่อนให้ก็ทำจิตเลื่อมใส ขณะให้ใจของเราก็แช่มชื่นเบิกบาน ให้ไปแล้ว นึกถึงทีไรก็ปลื้มทุกที เมื่อสมบัติเกิดขึ้นก็จะไม่มีวิบัติเจือ จะได้ปลื้มในผลบุญของเราอย่างเต็มที่กัน

* มก. เล่ม ๑๓ หน้า ๕๓๓

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13627
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *