เปรต ๑๒ ตระกูล (๑)

เปรต ๑๒ ตระกูล (๑)

เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อาศัยอยู่ในกามภพซึ่งเป็นหนึ่งในภพสาม คือกามภพ รูปภพ และอรูปภพนั้น ย่อมต้องพบกับความสมหวัง หรือผิดหวัง  ซึ่งเป็นธรรมดาของโลก ที่เรียกว่า “โลกธรรม ๘” เป็นธรรมประจำโลก ยิ่งในสภาวะปัจจุบันนี้ สังคมและเศรษฐกิจมีความแปรผันสูง อย่าได้หวั่นไหวกัน ให้ตั้งใจทำความดีเรื่อยไป ถ้าเราประกอบเหตุดี ผลที่ออกมาก็ย่อมจะดีเอง เพราะฉะนั้น ให้หมั่นสั่งสมบุญสั่งสมบารมีให้มากกันทุกๆ คน

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ว่า
“น หิ ตตฺถ กสิ อตฺถิ     โครกฺเขตฺถ น วิชฺชติ
วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถิ    หิรญฺเญน กยากยํ
อิโต ทินฺเนน ยาเปนฺติ   เปตา กาลกตา ตหึ
เปตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ไม่มีการเลี้ยงโค การค้าขายก็ไม่มี การซื้อการขายด้วยเงินก็ไม่มี สัตว์ผู้ทำกาละจะไปเกิดในเปตวิสัยนั้น ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยทานที่ญาติหรือมิตรให้แล้วแต่มนุษยโลกนี้”

เปรตหมายถึงสัตว์ที่มีความเป็นอยู่ห่างไกลจากความสุข โลกเปรตนี้เป็นดินแดนของการเสวยวิบากกรรมอย่างเดียว เป็น ๑ ในอบายภูมิ ๔ ซึ่งถือว่าเป็นทุคติภูมิ คือมีแต่เสวยทุกข์อย่างเดียว ไม่มีการทำมาค้าขาย ทำไร่ไถนาก็ไม่มี เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขและความเจริญ ถึงแม้จะไม่ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเหมือนในมหานรก แต่ก็มีความทุกข์ทรมานมากกว่าในเมืองมนุษย์มากมายหลายเท่านัก

เรื่องราวเกี่ยวกับเปตโลกนี้มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก สามารถจะศึกษาได้ว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงไปเกิดเป็นเปรต เปตโลกนี้แบ่งเป็นลักษณะของผู้ที่ถูกลงโทษหรือเสวยวิบากกรรมของตัวเองไว้หลายชนิด ความเป็นอยู่ของเปรตแต่ละจำพวกก็แตกต่างกันตามกรรมที่ตนได้สร้างเอาไว้ บางพวกอดข้าวอดนํ้า เสวยทุกข์อยู่นาน บางพวกต้องไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งไว้ตามที่โสโครก บางพวกกินเสมหะ นํ้าลาย อุจจาระ ส่วนเปรตบางพวกอาศัยอยู่ตามภูเขา หรือถูกขังก็มี

* ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีบันทึกไว้ว่า เปรตมี ๔ ประเภทใหญ่ๆ  บางแห่งแบ่งเป็น ๑๒ ตระกูลบ้าง หรือแยกย่อยออกเป็น ๒๑ ชนิดก็ได้
ที่ท่านแบ่งเป็น ๔ ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ๑.ปรทัตตูปชีวีเปรต คือเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นอุทิศให้  ๒.ขุปปิปาสิกเปรต เป็นเปรตที่หิวข้าวหิวนํ้าอยู่ตลอดเวลา  ๓.นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา และประเภทที่ ๔ คือ กาลกัญจิกเปรต เป็นอสูรชนิดหนึ่งที่เป็นเปรต มีร่างกายสูงใหญ่มาก สูงเกือบถึงหนึ่งโยชน์ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง เพราะมีเลือดเนื้อน้อย ร่างกายคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาของปู มีปากเท่ารูเข็ม ตั้งอยู่ตรงกลางศีรษะ

พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ท่านจะไม่ไปบังเกิดเป็นเปรต ๓ ประเภทหลังนี้ ยกเว้นประเภทแรกคือปรทัตตูปชีวีเปรต ซึ่งบางภพชาติท่านอาจประมาทพลาดพลั้ง หลงไปทำบาปอกุศลเข้า ก็พลัดไปเกิดได้บ้างเหมือนกัน

ส่วนเปรตที่จัดไว้เป็น ๑๒ ตระกูล ได้แก่
๑.วันตาสาเปรต มีรูปร่างน่าเกลียดและมีความอดอยากหิวโหยอาหารเป็นกำลัง
๒.กุณปขาทาเปรต มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว กลางคืนมักจะชอบออกหาซากอสุภะกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย
๓.คูถขาทาเปรต มีรูปร่างน่าสะอิดสะเอียน เที่ยวแสวงหาคูถคืออุจจาระที่คนถ่ายไว้เป็นอาหาร
๔.อัคคีชาลมุขาเปรต มีรูปร่างผอมโซมากๆ ที่ชื่อว่าอัคคีชาลมุขาเปรต ก็เพราะเหตุที่เปรตเหล่านี้มีเปลวไฟแลบออกมาจากปากตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน
๕.สุจิมุขาเปรต มีรูปร่างแปลกพิกล คือ เท้าทั้งสองใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม
๖.ตัณหาชิตาเปรต มีรูปร่างผอมและอดอยากผอมโซ
๗.นิชฌามักกาเปรต ที่ได้ชื่อเช่นนี้ ก็เพราะมีรูปร่างเหมือนต้นเสาและต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้
๘.สัพพังคาเปรต มีสรีระร่างกายใหญ่โต มีเล็บเท้าเล็บมือยาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบ
๙.ปัพพตังคาเปรต มีร่างกายใหญ่โตมากเหมือนภูเขา
๑๐.อชครเปรต เปรตพวกนี้มีรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายงูเหลือมยักษ์ มีความแตกต่างกันคล้ายกับสัตว์เดรัจฉานต่างๆ ในโลก
๑๑.มหิทธิกาเปรต เป็นเปรตมีฤทธิ์มากและรูปร่างสวยสดงดงามเหมือนเทพยดา และ
๑๒.เวมานิกเปรต เปรตพวกนี้เป็นเปรตชั้นสูง คือมีสมบัติเป็นวิมานทองวิมานเงินซึ่งเป็นของทิพย์ บางพวกก็เสวยสุขในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันเสวยทุกข์ บางพวกเสวยสุขในเวลากลางวัน แต่เสวยทุกข์ในเวลากลางคืน

ก่อนที่จะอธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเปรตทั้ง ๑๒ ตระกูล หลวงพ่อมีตัวอย่างเกี่ยวกับเปรตตนหนึ่งมาเล่าให้ทุกท่านได้ศึกษากันก่อน เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งมีพระภิกษุหลายรูปจำพรรษาอยู่ในโลหนชนบท ครั้นออกพรรษาแล้ว พระภิกษุเหล่านั้นมีความประสงค์จะไปไหว้พระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงชวนกันออกจากวัดเดินรอนแรมมาด้วยความศรัทธาเลื่อมใส เดินทางอยู่หลายวันก็บรรลุถึงป่าใหญ่เต็มไปด้วยแมกไม้ สิงสาราสัตว์ ปราศจากผู้คน ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าป่าลึกเข้าไปทุกที

ครั้นเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มทน จึงชักชวนกันนั่งพักบนแผ่นหินใหญ่ ซึ่งน่านั่งกว่าที่อื่น เพราะเป็นเนินสูงจากพื้นดิน นั่งพักอยู่ที่นั่นทั้งหมดหลายสิบรูปด้วยกัน เมื่อหายเหนื่อยแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้าในการเดินทาง ได้ลุกขึ้นเดินตรวจไปมา เพราะนึกแปลกใจว่า เหตุไฉนแผ่นหินใหญ่จึงมีในกลางดินกลางป่า ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะมีภูเขาอยู่ใกล้ๆ เลย

เมื่อเล็งแลดูด้วยทิพยจักษุก็รู้ว่า แผ่นหินใหญ่ที่ท่านนั่งพร้อมกับพระหลายสิบรูปด้วยกันนั้น ไม่ใช่แผ่นหินโดยธรรมชาติ ที่แท้เป็นเปรตตนหนึ่ง ซึ่งเวรกรรมชักนำให้มาเป็นเปรตรูปร่างอย่างนี้ พระเถระจึงถามว่า “ดูก่อนเปรต ท่านทำกรรมอะไรไว้ในชาติปางก่อน จึงต้องมารับกรรมอันน่าสังเวชปานนี้”

เปรตตอบพระเถระด้วยความเศร้าว่า “ท่านผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ในครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ข้าพเจ้ามีความประมาท ได้ย่ำยีทำลายที่นา ซึ่งผู้มีศรัทธาอุทิศเป็นที่กัลปนาถวายแด่สงฆ์ให้ฉิบหาย เพราะคิดว่ากรรมชั่วที่ทำไปจะมีผลเพียงเล็กน้อย และคงตามไม่ทัน อีกทั้งเคยทำความดีเอาไว้บ้าง ครั้นตายลงก็ต้องมาเกิดเป็นเปรตอย่างที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี่แหละ ข้าพเจ้าต้องอดข้าวอดนํ้า มีร่างเป็นหินกองอยู่กับดิน เป็นเช่นนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว”

เปรตผู้น่าสงสารกล่าวต่อไปว่า “ขอพระคุณเจ้า จงได้โปรดเมตตาบอกมนุษย์ทั้งหลายว่า อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างตามข้าพเจ้า อย่าเบียดเบียนสงฆ์  จงอย่าได้ประมาทในบาป จงอุตส่าห์ทำบุญทำทาน ขึ้นชื่อว่าของสงฆ์ของวัดแล้ว อย่าได้ล่วงเกินเป็นอันขาด เพราะจะเป็นทางนำไปสู่อบาย และต้องมาเสวยผลกรรมเหมือนที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่ในขณะนี้ จะหมดเวรกรรมเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบเลย” เมื่อพระภิกษุได้ฟังวาจาของเปรตหินในป่าลึก ก็ให้รู้สึกสลดใจ จึงยืนแผ่เมตตาให้เปรตมีความสุข หลุดพ้นจากอัตภาพของเปรตนี้โดยเร็วไว จากนั้นก็พากันเดินทางต่อไป

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของผู้ที่ทำบาปอกุศล แล้วไปบังเกิดเป็นเปรต พวกเปรตส่วนใหญ่จะมีที่อยู่อาศัยไม่แน่นอน เช่นอยู่ตามป่า ภูเขา หุบเหว เกาะ ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า กลางทะเลทราย อายุขัยของเปรตก็ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่ทำเอาไว้ สำหรับเปรตที่สามารถรับส่วนกุศลที่มีผู้อุทิศให้ได้ และมีกรรมไม่หนักมาก อาจพ้นจากอบายภูมิได้ทันทีที่จิตเป็นกุศลอนุโมทนาบุญเป็น ส่วนรายละเอียดเกี่ยวเปรตตระกูลต่างๆ จะได้อธิบายกันต่อไป

ให้ทุกท่านหมั่นสั่งสมบุญกันเป็นนิตย์ ฝึกเป็นผู้ปราศจากความตระหนี่ และอย่าประมาทในชีวิต จะได้เป็นนักสร้างบารมีที่มีหัวใจแผ่ขยายไปไม่สิ้นสุด ปรารถนาจะให้ชาวโลกมีความสุข ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันหมดทั้งโลก  ให้มีใจอย่างนี้กันทุกคน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13553
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *