กัณฑ์ ๑-๕ โลกวิทู

กัณฑ์ ๑ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
โลกวิทู
โลกวิทู แปลว่า รู้แจ้งซึ่งโลก โลกแบ่งออกเป็น ๓ คือ สังขารโลก สัตว์โลก โอกาสโลก โลกทั้ง ๓ นี้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรู้แจ้งหมด รู้ถึงความเป็นไปของโลกเหล่านี้โดยละเอียดด้วย จึงได้พระนามว่า โลกวิทู

คำว่า โลก หมายความว่า เป็นที่ก่อแห่งสัตว์ หรือนัยหนึ่งว่า เป็นที่ก่อผลแห่งสัตว์ ซึ่งว่าเป็นที่ก่อแห่งสัตว์ก็คือ เป็นที่เกิด ที่อยู่แห่งสัตว์ ที่ว่าเป็นที่ก่อผลแห่งสัตว์ก็คือ เป็นที่ซึ่งสัตว์ได้อาศัย ก่อกุศลและอกุศล ว่าโดยเฉพาะโลกมนุษย์ เป็นที่มนุษย์อาศัยสร้างบุญ แล้วก็ได้ผลไปบังเกิดในสวรรค์ หรือบำเพ็ญบารมี แล้วส่งผลไปสู่นิพพาน ดั่งเช่น องค์สมเด็จพระศาสดา ถ้าสร้างบาปแล้ว ก็เป็นผลให้ไปเกิดในนรก
สังขารโลก คือ โลกที่มีอาหาร เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ คำว่า อาหารฏฺฐิติกา สัตว์อยู่ได้เพราะอาหารปรนปรือ อาหาร แปลว่า ประมวลมา หรือเครื่องปรนปรือ และแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑ กวฬิงการาหาร ๒ ผัสสาหาร ๓ มโนสัญเจตนาหาร ๔ วิญญาณาหาร

กวพิงการาหาร หมายความว่า อาหารที่เป็นคำๆ เช่นคำข้าว ส่วนละเอียดของอาหารคือ โอชะ หรือที่เรียกกันอย่างใหม่ๆ ว่าวิตามินนั้นเข้าไปปรนปรือร่างกาย จึงเป็นปัจจัยให้สัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ สัตว์ทั้งหลายมีอาหารหยาบมากและละเอียดต่างกันเป็นพวกๆ เช่น จระเข้กินอาหารหยาบมาก แม้ก้อนหินหรือสัตว์ตัวใหญ่ๆ แต่แล้วก็มีโอชะไปหล่อเลี้ยงร่างกายมันได้ นกยูงกินแมลงต่างๆ ทั้งตัว หมาไนแทะกินกระดูกสัตว์ที่แข็งๆ ช้าง ม้า โค กระบือกินหญ้าและใบไม้ ของหยาบๆ ก็มีโอชะไปหล่อเลี้ยงร่างกายมันได้ มนุษย์กินอาหารละเอียดกว่าสัตว์ ที่กล่าวมาเป็นชั้นๆ เช่น ราษฎรสามัญกินอาหารหยาบกว่าพระมหากษัตริย์ พวกเทวดากินอาหารละเอียดกว่ามนุษย์ อย่างที่เรียกว่าทิพย์ ก็คือโอชะส่วนละเอียดของอาหาร พวกพรหมละเอียดยิ่งกว่าเทวดาอีก มีจักรพรรดิคอยปรนปรือ แม้เลยชั้นรูปพรหม อรูปพรหมขึ้นไปคือถึงชั้นนิพพานก็มีอาหารส่วนละเอียดไปหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน อาหารละเอียดเป็นที่สุด แต่อยู่นอกโลกนี่ เป็นการสาวหาเหตุผลประกอบเป็นลำดับชั้นไป มิใช่ตำรับตำราโดยตรง แม้ในพวกเทวดากันเอง ก็มีอาหารละเอียดต่างกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ภุมเทวดามีอาหารหยาบกว่าพวกเทวดาอื่นถัดขึ้นไป ชั้นยามาและอื่นๆละเอียดยิ่งกว่ากันขึ้นไปทุกชั้น การกินอาหารของพวกเทวดา มีอาการเหมือนเราฝัน แล้วก็มีความอิ่มเอิบไปตามระยะเวลา แต่ระยะเวลานานกว่ามนุษย์ ต่างกันเป็นลำดับขึ้นไป

อาหารเป็นปัจจัยให้เกิดรูป มีโอชะเป็นคำรบ ๘ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณโณ คนโธ รโส โอชา ซึ่งเรียกว่า กลาปรูป คือ รูปเกิดจากอาหารเป็นคำๆ นี้จำพวกกวฬิงการาหาร

ผัสสาหาร ได้แก่ ผัสสะทั้ง ๖ คือ ผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผัสสะ แปลว่า ความกระทบ เช่น เมื่อรูปมากระทบตา ก็เกิดขึ้น เรียกว่าจักขุสัมผัส อีก ๕ อย่าง ก็เช่นกัน ผัสสะนี้เป็นอาหาร เพราะประมวลให้เกิดเวทนา หรือปรนปรือให้เกิดเวทนา ๓
ผัสสะที่เกิดจากกระทบอารมณ์ที่ดี ก็ให้เกิดสุขเวทนา กระทบอารมณ์ชั่ว ก็ให้เกิดทุกขเวทนา อารมณ์ไม่ดีไม่ชั่วก็ให้เกิดอุเบกขาเวทนา ดังเช่น พระสารีบุตรยืนกันร่มให้พระศาสดาได้เป็นเวลา ๗ วันโดยไม่หิวโหย ก็เพราะผัสสาหารอย่างนี้ สัตว์นรกดำรงชีพรับเคราะห์กรรมอยู่ได้ก็เพราะผัสสาหารทางชั่ว คนนอนหลับอยู่ได้ก็ด้วยผัสสะชนิดให้เกิดอุเบกขาเวทนา

มโนสัญเจตนาหาร ได้แก่ การคิดอ่านทางใจ มโนสัญเจตนาหารนี้ เป็นอาหารประมวลมาซึ่งภพ ๓ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วแต่เจตนาคือมุ่งไปเกาะภพไหน เมื่อประกอบถูกส่วน ก็ไปสู่ภพนั้น เจตนาเป็นตัวกรรม ได้ในบาลีว่า เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ ซึ่งแปลความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนานั้นเองเป็นตัวกรรม คนที่ทำกรรมเป็นกุศล สุคติภพย่อมคอยท่ารับรองอยู่ และคนที่ทำกรรมเป็นอกุศล ทุคติภพก็ย่อมคอยท่ารับรองเขาอยู่เหมือนกัน

วิญญาณาหาร วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง เป็นอาหารชนิดหนึ่งเหมือนกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นที่รับรองของวิญญาณ วิญญาณย่อมมีรสในอารมณ์ ๖ อย่าง ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง วิญญาณจึงเป็นอาหาร ประมวลให้เกิดนามรูป ได้ในคำว่า วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ ซึ่งแปลว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป

สัตว์โลก ที่ว่าพระองค์ทรงรู้แจ้งซึ่งสัตว์โลกนั้นคือ พระองค์ทรงรู้แจ้งซึ่งธรรม เป็นที่มาแห่งจิตของสัตว์ทั้งหลาย

สัตว์ทั้งหลาย มีอัชฌาสัยหรือความเห็นต่างๆกัน เช่น จำพวกหนึ่งเห็นว่าโลกเที่ยง ไม่มียักเยื้องแปรผัน และเห็นว่าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเมื่อตายไป ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเดิม อีกพวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้ว ขาดสูญหมดสิ้นกันเท่านั้น ไม่มีอะไรในผู้นั้นจะมาเกิดอีก ทำดี ทำชั่ว ก็สิ้นสุดเพียงวันตาย ไม่มีบุญ ไม่มีบาป จะตามไปสนองในภพหน้าที่ไหนอีก อย่างนี้เรียกว่า ไม่รู้ซึ่งความเป็นจริงของโลก

ส่วนพระองค์ทรงรู้จริงเห็นแจ้งซึ่งสัตว์โลกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ที่จริงสัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามยถากรรม ทำดีความดีย่อมติดตามไปสนองในภพหน้า ทำชั่วความชั่วย่อมติดตามไปสนองในภพหน้า เป็นเสมือนเงาตามตัว อันเรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ จึงได้ชื่อว่า โลกวิทู นัยหนึ่ง

อนุสเย ชานาติ ทรงรู้แจ้งซึ่งอนุสัย ๗ ประการ คือกามราคานุสัย ภวราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย มานานุสัย อวิชชานุสัย

จริตํ ชานาติ ทรงรู้แจ้งจริตแห่งสัตว์ทั้งหลาย ๖ ประการคือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต สัทธาจริต พุทธิจริต

อธิมุตติ ชานาติ ทรงรู้แจ้งนิสัยต่ำสูง และความเป็นผู้มีใจบุญ ความเป็นผู้มีใจบาป แห่งสัตว์ทั้งหลาย
ทรงรู้แจ้งซึ่งความมีกิเลสหนาบางแห่ง สัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้แจ้งในอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายว่า แก่อ่อนอย่างไร กล่าวคือสัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เรียกว่า อินทรีย์ ๕ คือความเชื่อ ความเพียร สติ สมาธิ และปัญญา แล้วก็ทรงหาอุบายโปรด ในเมื่อทรงเห็นว่าอินทรีย์แก่กล้าสมควรแล้ว ดังเช่น วักกลิพราหมณ์ เห็นพระองค์มีพระสิริโฉมอันงาม ชอบเนื้อชอบใจ จนถึงขอบวชเป็นภิกษุบวช แล้วก็เฝ้ามองดูพระสิริโฉมของพระองค์เป็นเนืองนิตย์ พระองค์ก็ทรงรอไว้ ครั้นเมื่อเห็นว่าอินทรีย์แก่กล้าแล้ว จึงทรงเริ่มหาอุบายโปรดโดยตรัสว่า “วักกลิท่านจะมัวมามองดูร่างกายอันเน่าเปื่อยนี้ไย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นจึงจะเห็นเรา” พระวักกลิน้อยใจที่พระองค์ตรัสห้ามเช่นนั้น จึงอำลาจากพระองค์ จะไปโดดภูเขาตาย ในเมื่อใกล้โดด พระองค์ได้เปล่งรัศมีให้เห็น ประหนึ่งไปประทับอยู่เฉพาะหน้า พระวักกลิวิ่งโลดโผเข้าไปในรัศมีของพระองค์ ด้วยความปีติเลื่อมใสอันแรงกล้า ก็ได้บรรลุมรรคผลในกาลบัดนั้น สมความปรารถนาแล้วก็มาเฝ้าพระบรมศาสดาโดยทางอากาศ

สฺวากาเร ทฺวากาเร ชานาติ อีกประการหนึ่ง พระองค์ทรงรู้แจ้งว่า สัตว์จำพวกใดมีอาการดี มีอาการชั่ว แก้ไหวหรือไม่ไหว มีสัทธามีปัญญาหรือว่าหาสัทธา หาปัญญามิได้เลย

ภพฺเพ อภพฺเพ ชานาติ ประการหนึ่ง ทรงรู้ว่าสัตว์จำพวกใดทรงโปรดได้ จำพวกใดทรงโปรดไม่ได้ เช่น สัตว์พวกสัมมาทิฏฐิโปรดได้ จำพวกมิจฉาทิฏฐิโปรดไม่ได้

โอกาสโลก สภาพที่รับรองซึ่งกันและกัน คือ
อากาศรับรองธาตุไฟ
ธาตุไฟรับรองธาตุน้ำ
ธาตุน้ำรับรองธาตุดิน
ธาตุดินรับรองภูเขาตรีกูฏ
ภูเขาตรีกูฏรับรองภูเขาสุเมรุราช
ภูเขาสุเมรุราชรับรองชั้นจาตุมหาราช
ชั้นจาตุมหาราชรับรองชั้นดาวดึงส์
ชั้นดาวดึงส์รับรองชั้นยามา
ชั้นยามารับรองดุสิต
ดุสิตรับรองนิมมานรดี
นิมมานรดีรับรองปรนิมมิตวสวัตตี
ปรนิมมิตวสวัตตีรับรองพรหมปริสัชชา
ปริสัชชารับรองพรหมปโรหิตา
พรหมปโรหิตารับรองมหาพรหมา
มหาพรหมารับรองปริตตาภา
ปริตตาภารับรองอัปปมาณาภา
อัปปมาณาภารับรองอาภัสสรา
อาภัสสรารับรองปริตตสุภา
ปริตตสุภารับรองอัปปมาณสุภา
อัปปมาณสุภารับรองสุภกิณหา
สุภกิณหารับรองเวหัปผลาและอสัญญสัตตา
เวหัปผลาและอสัญญสัตตารับรองอวิหา
อวิหารับรองอตัปปา
อตัปปารับรองสุทัสสา
สุทัสสารับรองสุทัสสี
สุทัสสีรับรองอกนิฏฐา
อกนิฏฐารับรองอากาสานัญจายตนะ
อากาสานัญจายตนะรับรองวิญญาณัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะรับรองอากิญจัญญายตนะ
อากิญจัญญายตนะรับรองเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ส่วนสูงแต่มนุษย์โลกขึ้นไปถึงชั้นจาตุมหาราชิกาได้ ๔๒,๐๐๐โยชน์
แต่จาตุมหาราชิกาขึ้นไปถึงดาวดึงส์ได้ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
แต่ดาวดึงส์ขึ้นไปถึงยามาได้ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
แต่ยามาขึ้นไปถึงดุสิตได้ ๔๒,๐๐๐โยชน์
แต่ดุสิตขึ้นไปถึงนิมมานรดีได้ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
แต่นิมมานรดีขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตตีได้ ๔๒,๐๐๐ โยชน์
แต่ปรนิมมิตวสวัตตีขึ้นไป ๔,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ ถึงพรหมปริสัชชา ขึ้นไปอีกเท่านั้น พรหมปโรหิตาขึ้นไปเท่าๆกัน ดังนี้จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะมีระยะสูงเท่าๆกันดังนี้
ธาตุส่วนหยาบที่มีอยู่ตามปรกติคือ

ธาตุ ๖ – ขันธ์ ๖
ดิน หนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
น้ำ หนา ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์
ไฟ หนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
ลม หนา ๑,๙๒๐,๐๐๐ โยชน์
วิญญาน หนา ๓,๘๔๐,๐๐๐ โยชน์
อากาศหนาลงไปไม่มีที่สุด เช่น ภพ ๓ นี้ อากาศที่อยู่รอบๆภพ ก็ไปจรดกับภพที่อยู่รอบๆ ออกไป ข้างล่างจรดขอบบนของโลกันต์ ข้างบนจรดขอบล่างของนิพพาน ทุกๆระหว่างของภพเหล่านี้มีพระพุทธเจ้ารักษาอยู่ทั้งนั้น
ธาตุเหล่านี้ความจริงเป็นเพียงธาตุส่วนที่เรียกว่าโอกาสโลก สำหรับธาตุที่เป็นส่วนขันธโลกนั้น ละเอียดลงไปยิ่งกว่านี้หลายเท่าพันทวี เพราะขันธ์นั้นเป็นธาตุที่กลั่นมาจากธาตุอีกที่หนึ่ง

เครื่องกลั่นธาตุนี้ตั้งอยู่ในศูนย์กลางธาตุทั้ง ๖ ปริมาณความใหญ่โตของเครื่อง ก็เต็มธาตุนั้น เมื่อเครื่องแรกกลั่นธาตุเหล่านี้แล้ว ก็เอาแต่ส่วนที่ละเอียดที่สุด ไปเก็บเข้าเครื่องกลั่นที่ ๒-๓-๔-๕-๖-๗ ต่อไปเป็นลำดับ เมื่อเครื่องที่ ๗ กลั่นเสร็จแล้ว ก็ทำการส่งธาตุที่ถูกกลั่นนั้น เข้ามาที่เครื่องศูนย์กลางของภพ ๓ นี้ เมื่อเครื่องในภพ ๓ นี้ รับธาตุมาแล้วก็จะเอามาเข้าเครื่องสำเร็จเก็บไว้เป็นเซพทะเล เซพทะเลเวลาที่ได้ธาตุมาแล้ว เครื่องที่ศูนย์กลางภพ ๓ ก็จะทำหน้าที่ประกอบเป็นขันธ์ ๕ ขึ้น ประกอบได้สำเร็จพอกับปฐมวิญญาณขันธ์ที่ประกอบไว้แล้วนั้นเป็นส่วนเฉพาะกายหนึ่งๆ ไม่มีปนเปกัน ส่วนดีส่วนชั่ว ส่วนไม่ดีไม่ชั่ว ก็มีผู้ควบคุมไว้เป็นส่วนๆ

เวลาที่จะส่งมาเป็นกายนั้น อาศัยกายทิพย์ที่มาถึงศูนย์กลางภพนั้น เข้าเครื่องประกอบพร้อมกับธาตุที่สำเร็จเป็นขันธ์ประจำภพแล้ว ก็จะส่งเข้ายังเครื่องที่ศูนย์กลางกายพ่อ ธาตุสำเร็จที่ส่งเข้าไปในศูนย์กลางกายของพ่อนั้น ขนาดเล็กเพียงเท่าเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทรเท่านั้น เป็นชายก็ส่งผ่านเข้าโดยทางจมูกขวา หญิงเข้าทางซ้าย เวลาที่จะออกจากศูนย์กลางกายพ่อ ไปอยู่ในศูนย์กลางกายแม่ก็อาศัยความดึงดูดของอายตนะของเครื่องที่มีอยู่ในศูนย์กลางกายแม่ รับเอามาจากศูนย์ของพ่อมาไว้ที่ขั้วมดลูกของแม่ ต่อจากนั้นก็อาศัยธาตุส่วนหยาบรักษาหล่อเลี้ยงกันต่อไป เวลาที่กายดับ เครื่องในศูนย์กลางภพก็ดูดเอาธาตุเหล่านี้ไปเก็บไว้ตามเดิม

สำหรับขันธ์ของทิพย์ ก็กลั่นเอาไปจากขันธ์ของมนุษย์ ขันธ์ของทิพย์ก็กลั่นต่อไปเป็นของรูปพรหม อรูปพรหม ธรรมกายต่อๆกันขึ้นไปเป็นลำดับ.

โอวาท พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

อ้างอิงเนื้อหา หนังสือ รวมพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เพื่อการศึกษาและดำรงไว้ซึ่งคำสอน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *