เปรตหญิงสาวผู้หิวโหย

เปรตหญิงสาวผู้หิวโหย (พระสารีบุตรสงเคราะห์นางเปรต)

การเกิดมาภพชาติหนึ่ง ก็เพื่อเข้าถึงธรรมกาย และขยายธรรมกายให้เป็นที่พึ่งแก่มวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย เรื่องอื่นเป็นไปเพื่อให้อาศัยอยู่ในโลกนี้ได้เท่านั้น เจอะเจออะไรก็ต้องอาศัยกันไป เพื่อที่จะได้มีโอกาสสร้างบารมี ฝึกฝนอบรมจิตให้เข้าถึงธรรมะภายใน ถ้าจับหลักอันนี้ได้เราจะดำเนินชีวิตไม่ผิดพลาด จะไม่ติดอยู่ในโลกธรรม ๘ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ นินทา มีสุข มีทุกข์ แล้วจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ใจจะติดอยู่ในกลางกายธรรมอย่างเดียว แม้จะดำรงชีวิตอยู่ในโลกเหมือนคนทั่วไป แต่เราสามารถยกใจให้อยู่เหนือโลกได้ ซึ่งการจะพัฒนาจิตใจให้ไปถึงระดับนั้น ต้องเริ่มจากการนำใจกลับมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  อย่างเบาสบายเป็นประจำทุกๆ วัน แล้วเราจะสมปรารถนา มีธรรมะภายในเป็นที่พึ่ง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ติโรกุฑฑสูตร ว่า
“น หิ ตตฺถ กสี อตฺถิ     โครกฺเขตฺถ น วิชฺชติ
วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถิ    หิรญฺเญน กยากยํ
อิโต ทินฺเนน ยาเปนฺติ   เปตา กาลคตา ตหึ
ในเปรตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม การเลี้ยงโคในเปรตวิสัยก็ไม่มี การค้าขายหรือการซื้อขายด้วยเงินก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายผู้ถึงกาลล่วงสิ้นไปแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในเปรตวิสัยนั้น ด้วยทานอันเขาให้แล้วในมนุษยโลก”

สังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิด หาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่ได้นี้ บางครั้งเราก็ไปเกิดบนสวรรค์ หรือบางทีก็พลัดตกไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากบุพกรรมที่ทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ในแต่ละภพภูมิมีความแตกต่างกันไป อย่างในภพภูมิของเปรต ซึ่งมีความเป็นอยู่แตกต่างกัน ตามผลกรรมที่ตนเองทำเอาไว้ บางพวกอดข้าวอดน้ำ เสวยทุกข์อย่างแสนสาหัส บางพวกไปหากินเศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งแล้ว บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย อุจจาระ

เปรตมีอยู่ ๑๒ ตระกูล ตระกูลหลักๆ คือพวกปรทัตตูปชีวีเปรต เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้ อีกพวกหนึ่งคือขุปปิปาสิกเปรต พวกนี้จะมีความหิวกระหายตลอดเวลา ต้องอดข้าวอดน้ำตลอดชีวิต อีกพวกหนึ่งคือนิชฌามตัณหิกเปรต จะถูกไฟเผาไหม้ให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา และกาลกิญจิกเปรต มีร่างกายสูงไม่มีเรี่ยวแรง เพราะมีเลือดเนื้อน้อย สรีระร่างกายคล้ายใบไม้แห้ง ปากเท่ารูเข็ม กินอาหารได้ทีละนิดเดียว ทำให้หิวโหยอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ครั้งนี้ หลวงพ่อจะพูดถึงปรทัตตูปชีวีเปรต ซึ่งเป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตด้วยการอาศัยอาหารที่ผู้อื่นทำบุญแล้วอุทิศให้ แม้จะอุทิศส่วนกุศลให้เพียงเล็กน้อย แต่มีผลานิสงส์เกิดขึ้นมาก

* เหมือนเรื่องในอดีตกาล มีหมู่บ้านอยู่ ๒ หมู่บ้าน คือหมู่บ้านอิฏฐกวดี และหมู่บ้านทีฆราชิ ในแคว้นมคธ สองหมู่บ้านนั้นมีพวกมิจฉาทิฏฐิอยู่เป็นจำนวนมาก มีหญิงคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านอิฏฐกวดี นางมีความเห็นผิด ได้ฆ่าตั๊กแตนเป็นจำนวนมาก เมื่อละโลกไปแล้ว จึงได้ไปบังเกิดเป็นเปรต เสวยทุกข์มีความหิวกระหายอยู่นานถึง ๕๐๐ ปี

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงเทศน์สอนเหล่าเวไนยสัตว์ให้บรรลุธรรมกันมากมาย วันหนึ่งพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร สมัยนั้น นางได้กลับมาเกิดในตระกูลสังสารโมจกะตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านอิฏฐกวดี ในเวลาที่นางมีอายุ ๗-๘ ขวบ ได้ไปเล่นรถกับพวกเด็กหญิงคนอื่นๆ พระสารีบุตรเถระซึ่งตามเสด็จพระบรมศาสดาไปด้วย ท่านพร้อมด้วยภิกษุ ๑๒ รูปเดินบิณฑบาตไปทางบ้านของตระกูลสังสารโมจกะ

ในขณะนั้นเด็กหญิงจำนวนมากที่กำลังเล่นกันอยู่ใกล้ประตูบ้าน เห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส จึงรีบมาไหว้พระเถระตามที่เห็นมารดาบิดาปฏิบัติกัน ส่วนเด็กหญิงคนนี้ไม่มีความศรัทธา เพราะไม่ได้สั่งสมกุศลเอาไว้ จึงไม่เอื้อเฟื้อต่อพระเถระ ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ พระเถระเห็นความประพฤติในอดีตของนางว่า การที่นางมาเกิดในตระกูลสังสารโมจกะนี้ เพราะเป็นผู้ไม่มีศรัทธาและมีความเห็นผิด และยังทราบอีกว่า ถ้าเด็กหญิงคนนี้ไหว้พระแล้ว ก็ไม่ต้องไปเกิดในนรกแต่จะเกิดเป็นเปรตแทน และจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติเพราะอาศัยบุญนี้ จึงมีจิตกรุณากล่าวกับเด็กหญิงเหล่านั้นว่า “พวกเธอทั้งหลายไหว้ภิกษุเป็นการดีแล้ว แต่เด็กหญิงคนนี้ยืนนิ่งอยู่เหมือนคนไม่มีโชค”

เมื่อพระเถระให้นัยดังนี้แล้ว เด็กหญิงเหล่านั้นจึงพากันจับมือนางมาไหว้แทบเท้าพระเถระ สมัยต่อมา นางเจริญวัยขึ้น บิดามารดาได้ยกนางให้บุตรของเศรษฐี เมื่อครรภ์แก่เต็มที่ นางก็เสียชีวิตขณะมีครรภ์ ตายไปได้ไปบังเกิดเป็นเปรต ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ถูกความหิวกระหายครอบงำอยู่ตลอดเวลา เที่ยวไปในตอนกลางคืน อยู่มาวันหนึ่งนางแสดงตนให้พระสารีบุตรเถระได้เห็น

พระเถระเห็นนางแล้วจึงถามว่า “ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอมสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น มีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครเล่า มายืนอยู่ในที่นี้เพื่ออะไร” นางเปรตผู้น่าสงสารได้ฟังดังนั้นแล้วจึงตอบพระเถระว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรตเข้าถึงทุคติ เกิดในยมโลก เพราะทำบาปกรรมไว้ จึงละจากมนุษย์โลกนี้ไปสู่เปรตวิสัย”

พระเถระถามถึงบุพกรรมที่ทำเอาไว้ว่า “ท่านทำกรรมชั่วอะไรด้วยกาย วาจา และใจ จึงจากโลกนี้ไปสู่ภพภูมิของเปรต” นางจึงตอบว่า “ดิฉันไม่เคยให้ทานเลย เป็นคนตระหนี่จึงเกิดในกำเนิดเปรตเสวยทุกข์มหันต์ถึงเพียงนี้ ท่านผู้เจริญ ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา หรือเป็นญาติก็ดี ไม่มีผู้ใดชักชวนดิฉันให้ทำทานแก่สมณพราหมณ์เลย เพราะผลกรรมนั้น ดิฉันจึงต้องมาเป็นเปรตเปลือยกาย มีความหิวกระหายเป็นเช่นนี้ถึง ๕๐๐ ปี นี้เป็นวิบากกรรมของดิฉัน พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันมีจิตเลื่อมใสจะขอไหว้ท่าน ขอท่านผู้แกล้วกล้า ผู้มีอานุภาพมาก จงอนุเคราะห์แก่ดิฉันเถิด ขอท่านจงให้ทานอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วอุทิศส่วนกุศลมาให้ดิฉัน ขอท่านจงช่วยให้ดิฉันพ้นจากทุคติด้วยเถิด”

พระสารีบุตรเถระอยากช่วยเหลือนาง จึงถวายข้าวคำหนึ่ง ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือผืนหนึ่ง และน้ำดื่มหนึ่งขันแก่ภิกษุรูปหนึ่ง แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้นางเปรต เมื่อพระสารีบุตรอุทิศส่วนกุศลไปให้แล้ว เครื่องนุ่งห่มและของกินของใช้อันเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นทันที นางเปรตนั้นกลับได้ร่างกายสมบูรณ์ ผิวพรรณวรรณะผุดผ่อง มีเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับอันเป็นทิพย์สวยงาม  เปล่งแสงสว่างไปทั่ว สระโบกขรณีมีน้ำใสเย็น มีท่าราบเรียบ ดารดาษไปด้วยดอกปทุมและดอกอุบลซึ่งมีกลิ่นหอม ได้เกิดขึ้นแก่นางเปรตทันที

เราจะเห็นว่า แม้ว่าวัตถุทานเพียงเล็กน้อยที่พระเถระทำบุญไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เปรตเกิดผลทันที จากอัตภาพของเปรตผู้น่าสงสาร ก็กลับกลายเป็นเทพธิดาผู้เรืองรองด้วยรัศมี มีทิพยสมบัติมากมายเกิดขึ้น ฉะนั้น เมื่อเราทำบุญแล้ว อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลไปให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็จะได้บุญในส่วนปัตตานุโมทนามัยด้วย แล้วยังเป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของเราอีกด้วย เพราะสิ่งที่หมู่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วต้องการมากที่สุดก็คือบุญ ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม สิ่งที่เราทำไปนั้นไม่ไร้ผลเลย เพราะเราทำเราก็ได้บุญ แล้วยังเป็นประโยชน์แก่หมู่ญาติอีกด้วย

ให้คิดว่าเราได้บุญอย่างไร ขอให้หมู่ญาติของเรามีส่วนในผลบุญนั้นด้วย ให้เขามีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป บางครั้งแม้บุญกุศลที่เราอุทิศไปให้จะยังไม่ถึง เพราะเขาอยู่ในภาวะที่ยังรับไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ได้บุญจากการทำบุญแล้ว ผู้รับจะได้รับหรือไม่ได้รับนั้น ก็ขึ้นอยู่กับภพภูมิ แต่ถ้าผู้อุทิศให้ได้บรรลุธรรมกาย สามารถเอาบุญไปให้ได้ ผู้รับจะได้รับอานิสงส์ผลบุญใหญ่ทันที หรือสามารถไปช่วยให้พ้นจากอบายภูมิก็ได้  จะพาไปอยู่ในสุคติภูมิก็ได้

เมื่อเราทราบดังนี้แล้ว ก็อย่าไปทำบาปอกุศล ให้หักห้ามใจไม่ให้ทำความชั่ว อย่าไปตามกระแสกิเลส เพราะจะต้องไปเสวยทุกข์ทรมานในอบายภูมิ ให้หมั่นสั่งสมบุญกันให้มากๆ บุญนี่แหละจะเป็นที่พึ่งของเรา เราจะไม่ต้องไปบังเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหย รอคอยหมู่ญาติอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้

นอกจากนี้ ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดให้นิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในกันให้ได้ ชีวิตเราจะปลอดภัย ถ้าเราได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย จะได้รู้จักพวกเปรตทั้งหลาย รวมทั้งพวกอสุรกายและสัตว์นรกอีกมาก เราจะรู้เห็นเรื่องนรกสวรรค์ ว่าเป็นของมีจริง ไม่ใช่เรื่องที่เอามาขู่กันเล่น หรือเอาสวรรค์มาล่ออย่างที่บางคนเข้าใจ แล้วจะรู้ว่าผู้ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส รอคอยความช่วยเหลือจากเรานั้น ยังมีอีกมากมายทีเดียว ต้องอาศัยกำลังบุญกำลังบารมี ที่พวกเรากำลังทำกันไปเป็นทีมนี่แหละไปช่วยเขา ถึงจะช่วยเหลือสรรพสัตว์เหล่านั้นได้ ดังนั้น ให้ทุกท่านตั้งใจฝึกฝนใจ ให้หยุดนิ่งกันให้เต็มที่ ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ทุกๆ คน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13316
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *