โทษของการไม่ต้อนรับแขก (เรื่องพระสารีบุตรทำบุญอุทิศให้เปรตอดีตมารดา)
พระรัตนตรัยเป็นสรณะอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีอานุภาพไม่มีประมาณ เกินกว่าที่ผู้มีรู้มีญาณจะคำนวณนับได้ ผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย จะเกิดความซาบซึ้งในพระคุณอันไม่มีประมาณนั้น เมื่อยามมีทุกข์ท่านก็ช่วยขจัดปัดเป่าให้หมดทุกข์ได้ มีสุขแล้วก็ทำให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ชีวิตของเราจะได้รับการคุ้มครองจากพระรัตนตรัย ดังนั้น ผู้รู้ทั้งหลายท่านจึงยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดในชีวิต การเจริญสมาธิภาวนา ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เป็นทางลัดที่สุดที่จะทำให้เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน
มีถ้อยคำที่เปรตตนหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ใน เปตวัตถุ ว่า
“ดิฉันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัย นอนบนเตียงของคนตาย ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ดิฉันเป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่ เพราะทานของท่านพระสารีบุตร ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันมาครั้งนี้เพื่อจะไหว้ท่านพระสารีบุตรผู้เป็นนักปราชญ์”
ความเป็นมาของถ้อยคำที่หลวงพ่อได้ยกขึ้นมาข้างต้นนี้ ก็เนื่องมาจากเปรตตนหนึ่งที่รู้สึกสำนึกในมหากรุณาของพระสารีบุตรเถระ ที่ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ เรื่องก็มีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระอนุรุทธะ และพระมหากัปปินะ พักอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ในสมัยนั้นมีพราหมณ์ท่านหนึ่ง เป็นผู้มั่งคั่ง มีโภคทรัพย์สมบัติมาก และรักการบริจาคทานแก่สมณพราหมณ์และคนทั้งหลาย เมื่อจะให้ก็ให้ด้วยความเคารพในทาน ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ปฏิบัติอย่างเหมาะสมแก่ผู้คนที่เดินทางมาถึงท่าน
* พราหมณ์ได้ถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสงฆ์ด้วยความเคารพเลื่อมใสด้วยดีมาโดยตลอด เมื่อจะไปทำธุระที่อื่นก็ฝากฝังภรรยาให้ช่วยจัดแจงภัตตาหารหวานคาวแทน ส่วนภรรยาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำเป็นรับคำของสามี แต่เมื่อสามีจากไปก็ไม่ยอมให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ดังที่เคย ทำให้พระท่านมารอเก้อ เมื่อคนเดินทางไกลเข้าไปเพื่อขอพักอาศัย ก็ให้ศาลาเก่าที่ทอดทิ้งแล้ว
เมื่อยาจกวณิพกเดินทางมาเอาข้าวและน้ำ นางก็ด่าบริภาษคนเหล่านั้นว่า “พวกท่านจงกินคูถ ดื่มมูตร ดื่มโลหิต กินมันสมองของมารดาท่านเถิด ท่านจะมาหากินอะไรที่บ้านของเรา” แล้วขับไล่ไสส่งคนเหล่านั้นออกจากบ้าน นางทำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ เพราะสามีไปค้าขายต่างแดนหลายเดือน สามีไม่รู้ว่าภรรยาได้เลิกให้ทานซึ่งเป็นประเพณีของวงศ์ตระกูลที่ได้ประพฤติปฏิบัติกันมายาวนาน
ต่อมา นางเกิดป่วยเป็นโรคลมในท้อง ไม่สามารถหาหมอมารักษาได้ทันทำให้สิ้นใจ เมื่อตายแล้ว กรรมบีบคั้นให้นางไปบังเกิดในกำเนิดเปรต เสวยทุกข์อันเหมาะสมแก่กรรมของนาง นางพยายามหาทางที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ในอบายภูมิ จึงหวนระลึกถึงความสัมพันธ์ที่เคยเกิดเป็นมารดาของพระสารีบุตรในชาติปางก่อน มีความประสงค์จะไปขอความช่วยเหลือจากพระเถระ ในขณะเดินทางไปถึงประตูวิหาร อารักขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ประตูก็ห้ามเอาไว้ ไม่ยอมให้นางเข้าไป
นางเปรตอ้อนวอนอารักขเทวาว่า นางเคยเป็นมารดาของพระสารีบุตรในชาติที่ ๕ นับแต่ปัจจุบันชาตินี้ ขอให้นางได้เข้าไปพบพระเถระด้วยเถิด เทวดาเมื่อทราบว่านางเคยเป็นมารดาของพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ จึงอนุญาตให้นางเข้าไปได้ ครั้นเปรตเข้าไปภายในวิหารแล้ว ได้ยืนอยู่บริเวณที่จงกรม ปรากฏกายอันน่าเวทนาแก่พระเถระ พระเถระเมื่อเห็นเปรตตนนั้น ก็บังเกิดความกรุณาขึ้นมาในใจ ปรารถนาอยากช่วยนางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน ได้ไต่ถามนางว่า “ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างไม่น่าดู ซูบผอม เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใคร มายืนอยู่ในที่นี้ทำไม”
นางเปรตเมื่อถูกพระเถระถาม ก็ได้ลำดับเหตุการณ์ให้ท่านฟังว่า “เมื่อ ๕ ชาติที่แล้ว เคยเป็นมารดาของพระสารีบุตร ภพชาตินี้ได้เข้าถึงเปรตวิสัยที่มากไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำ ก็กินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะที่เขาถ่มทิ้ง และกินมันเหลวของซากศพซึ่งกำลังถูกเผาที่เชิงตะกอน กินเลือดของพวกหญิงที่คลอดบุตร และเลือดสดๆ ของพวกบุรุษที่ถูกตัดมือตัดเท้า”
นางเปรตรำพึงต่อไปว่า ในอัตภาพของเปรตนี้ ต้องกินเนื้อ เอ็นและข้อมือข้อเท้าของคนที่ตายแล้ว กินหนองและเลือดของปศุสัตว์และของมนุษย์ ไม่มีที่พักอาศัย ร่อนเร่ไป ได้รับความยากลำบากยิ่งกว่าคนพเนจรในมนุษย์นี้เสียอีก และยังต้องนอนบนเตียงของคนตายที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า จึงอ้อนวอนพระสารีบุตรว่า “ไฉนหนอแม่จึงจะพ้นจากอัตภาพของเปรตกินหนองและเลือดนี้ ขอให้ท่านได้ถวายทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้างเถิด”
พระสารีบุตรเถระได้สดับดังนั้นแล้ว ในวันรุ่งขึ้น จึงเล่าเรื่องให้พระเถระทั้ง ๓ รูปทราบ จากนั้นก็ไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้ไปถึงพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร พระราชาเห็นพระเถระมาพร้อมกันอย่างนั้น ก็ตรัสถามถึงสาเหตุของการมา พระเถระทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทรงทราบ พระราชาเห็นความตั้งใจดีของพระเถระที่อยากจะช่วยโยมมารดา ก็มีจิตศรัทธารับสั่งให้เรียกอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการมาเข้าเฝ้า ทรงพระบัญชาให้สร้างกุฏิ ๔ หลัง
เมื่อกุฏิสร้างเสร็จแล้ว พระองค์ก็ให้ตระเตรียมพลีกรรมทั้งหมด ตั้งแต่จัดแจงข้าวน้ำและผ้าไตรจีวรเป็นต้น พร้อมทั้งเครื่องบริขารทุกอย่างที่สมควรแก่ภิกษุสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วมอบถวายสิ่งของเหล่านั้นแด่พระสารีบุตร พระเถระเมื่อได้รับถวายกุฏิที่พักสงฆ์พร้อมด้วยไทยธรรมจากพระราชาทุกอย่างแล้ว ก็ได้ถวายสิ่งของทั้งหมดแด่ภิกษุสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วได้อุทิศแก่เปรตผู้เป็นมารดา
ฝ่ายเปรตมารดาเมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลที่อดีตพระลูกชายอุทิศไปให้แล้ว ก็ไปบังเกิดในเทวโลก พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่าง ในคืนวันต่อมา ก็เข้ามาไหว้พระมหาโมคคัลลานเถระ พระเถระสอบถามเปรตซึ่งบัดนี้กลายเป็นเทพธิดาไปแล้วว่า “ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงดงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ดุจดาวประกายพรึก ท่านมีวรรณะเช่นนี้เพราะกรรมอะไร อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกอย่างอันเป็นที่พอใจบังเกิดขึ้นกับท่านเพราะกรรมอะไร ดูก่อนเทพธิดา เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีกายสว่างไสวไปทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญกรรมอะไร”
เทพธิดาได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พระเถระฟังว่า“นางเคยเป็นเปรตผู้หิวโหยมาก่อน แต่ตอนนี้เป็นผู้มีความสุขความบันเทิงในโลกสวรรค์ เพราะการให้ทานของท่านพระสารีบุตร และที่มาครั้งนี้ ก็เพื่อจะไหว้พระสารีบุตรผู้เป็นนักปราชญ์ ผู้มีความกรุณาต่อสัตว์โลก” พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระบรมศาสดา จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงนำเรื่องนั้น มาตรัสเล่าให้มหาชนได้รับฟังกัน แล้วทรงแนะนำให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้เห็นทุกข์ เห็นโทษของการไม่ให้ทาน ทำให้มหาชนรักในการสั่งสมบุญ และได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันมากมายนับไม่ถ้วน
จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่า ความตระหนี่เป็นภัยในวัฏฏะ ที่ส่งผลให้คนๆ นั้น จากที่เคยเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ต้องไปรับทุกข์ทรมานแสนสาหัสในอบายในอัตภาพของเปรตเป็นเวลายาวนาน ถ้าไม่ได้พระสารีบุตรช่วยเอาไว้ โอกาสที่จะต้องเสวยวิบากกรรมอันเผ็ดร้อนก็ยาวนานออกไปอีก
เพราะฉะนั้น อย่าประมาทในการสั่งสมบุญ ชีวิตหลังความตายเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ อีกทั้งต้องเตรียมตัวเอาไว้แต่เนิ่นๆ ถ้าก้าวพลาดนิดเดียว นั่นหมายถึงโอกาสที่จะต้องพลัดตกไปในอบายภูมิ ไปเสวยทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ถ้าละโลกไปแล้วหวังจะไปเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์ ก็ต้องหมั่นสร้างบารมี ไปด้วยกำลังบุญในตัวของตนเอง ถึงจะภาคภูมิใจว่าเราสร้างวิมานด้วยตนเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาสร้างให้ หรือรอคอยการอุทิศส่วนกุศลให้ มันเสียศักดิ์ศรีนักสร้างบารมี ดังนั้น เมื่อได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ควรทุ่มเทสั่งสมบุญกันให้เต็มที่เต็มกำลังอย่างสุดความสามารถ วิมานของเราจะได้สว่างไสวยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อบุญบารมีมาก เราจะได้เป็นที่พึ่งทั้งแก่ตนเองและสรรพสัตว์
* มก. เล่ม ๔๙ หน้า ๑๕๘
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/12985
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน
✨น้อมกราบ สาธุ สาธุ สาธุครับ
🏵️🌼🌺🌸💮🌟💮🌸🌺🌼🏵️