คุณหญิงท้องนา (ตอน ๓)
คุณพ่อถึงแม้จะเป็นหนุ่มบ้านนอก แต่ก็เป็นเศรษฐี เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้านมาก ท่านเป็นคนมีธรรมะ เคยบวชเรียนถึงเปรียญธรรม ๖ ประโยค และท่านเรียนวิชาหมอยามาด้วย จึงสามารถรักษาโรคได้ เวลาใครป่วยก็มาหาคุณพ่อ ให้คุณพ่อฉีดยาให้ ใครไม่มีเงินคุณพ่อก็รักษาให้ฟรี ดังนั้นตั้งแต่ลูกเกิดมาลูกจึงมีแต่ความสุขและกลายเป็นสาวมั่น เก่งกล้า ไม่กลัวใครเลยมาตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะคิดว่าเรามีแม่เป็นถึงคุณหญิง มีพ่อเป็นถึงคุณหมอ เวลาไปไหนมาไหนก็บอกว่าเป็นลูกของคุณหมอ ก็จะไม่มีจิ๊กโก๋คนไหนกล้ามาแหยม เวลาคุณพ่อไปนาก็จะเอาลูกขี่คอไปด้วย ชีวิตช่วงนั้นของลูกมีความสุขมาก
จนกระทั่งวันหนึ่ง วันเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็มาถึง คือ พระองค์เจ้าฯ ที่เป็นท่านพ่อของคุณแม่สิ้นพระชนม์ทีนี้ในพินัยกรรมระบุไว้ว่า ห้ามแบ่งมรดกจนกว่าจะตามหาตัวคุณแม่เจอ จึงทำให้พี่น้องทุกคนต้องรีบสืบตามหาคุณแม่แทบพลิกแผ่นดิน ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพื่อให้ถูกต้องตามพินัยกรรมใช้เวลาตามหากันเกือบ ๑๐ ปีกระทั่งเจอกัน จึงได้จัดการเรื่องมรดกนอกจากนี้ ในพินัยกรรมยังระบุไว้อีกว่าให้นำลูกหลานที่กระจัดกระจายเอากลับมาเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนหมดทุกคน ดังนั้นลูกจึงจำต้องพรากจากพ่อแม่ตั้งแต่อายุ ๑๓ ปีตามพินัยกรรม ซึ่งจะต้องรวมเอามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนหนังสือกับคุณหญิงท่านหนึ่งซึ่งเป็นพี่สาวของคุณแม่ ลูกได้อยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่สวยงามมาก มันน่าจะมี
ความสุขสบายกว่าบ้านนา แต่ตรงข้าม ชีวิตลูกไม่ได้สบายเลย เพราะลูกต้องช่วยเขาทำงานบ้านเกือบทุกอย่าง แม้ว่าเขาจะส่งลูกให้เรียนในโรงเรียนชั้นดีเยี่ยม แต่ลูกก็อยู่ในฐานะเป็นเด็กบ้านนอกซอมซ่อที่แตกต่างจากเพื่อน ๆในโรงเรียน ลูกเรียนอย่างขาดความมั่นใจเพราะเด็กกรุงเทพฯ เรียนไวกว่าเด็กบ้านนอกลูกรู้สึกตัวเองว่าเป็นเด็กโง่ท่ามกลางเด็กฉลาด ลูกจึงต้องพยายามในเรื่องการเรียนอย่างหนัก ซ้ำร้ายไปกว่านั้นลูกได้เข้าโรงเรียนดี ๆ ก็จริง แต่ไม่ได้รับการส่งเสริมด้านการเรียนเลย ลูกได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนเพียงวันละ ๖ สลึง ซึ่งพอดีสำหรับค่าอาหารอย่างประหยัด แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับค่ารถ ทำให้ลูกต้องฟิตร่างกายให้แข็งแรง เพราะต้องเดินไปกลับโรงเรียนวันละ ๘ กิโลเมตร ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรก็ต้องฝ่าไปให้ได้พอกลับมาจากโรงเรียน ก็ต้องช่วยทำงานบ้านจนรู้สึกเหนื่อย ทำงานบ้านเสร็จก็ถึงเวลานอนพอดี เขาก็ปิดไฟ ทำให้ลูกไม่ได้ทำการบ้าน ลูกจึงหาทางออกโดยการเจียดเงินค่าขนมที่ได้เพียงน้อยนิด ไปซื้อเทียนไขมาจุดแอบอ่านหนังสือตรงขั้นบันได ตอนที่เขาหลับกันหมดแล้ว
ดินสอก็ต้องใช้จนกุดแล้วเอาไม้มาต่อเพื่อให้เขียนได้ เสื้อผ้าก็ต้องใส่ขาด ๆ ปะ ๆกระโปรงก็ต้องสอยชายลงมาเรื่อย ๆ เพราะลูกตัวสูงขึ้น แต่เขาก็ไม่ให้ซื้อใหม่ จนบางครั้งลูกต้องแอบร้องไห้คิดถึงคุณพ่อคุณแม่เสมือนขาดที่พักพิงอันแสนจะอบอุ่นเมื่ออยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ ลูกจำยอมทนอยู่ที่นี่จนกระทั่งเรียนจบชั้น ม.ศ.๖ ได้ทำงานที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ และได้ย้ายออกมาอยู่กับสามีหลังจากแต่งงานแล้ว ตอนอายุได้ ๒๔ ปี
บุพกรรมใดตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ ๑๓ ปีลูกมีความสุขมาก แต่หลังจากนั้นชีวิตก็ลำบากต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ บุพกรรมใดทำให้ลูกมีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนดี ๆแต่ไม่ได้รับการส่งเสริมด้านการเรียนเลยบุญใดทำให้ลูกได้มาอยู่ในบ้านหลังใหญ่และสวยงามมาก แต่ต้องอยู่อย่างต่ำต้อย ยากจนต้องแก้ไขบุพกรรมนี้อย่างไรคะ
คุณครูไม่ใหญ่ :
ตัวลูกตั้งแต่เกิดจนอายุ ๑๓ ปี มีความสุขมาก แต่ภายหลังต้องมีชีวิตลำบาก และพลัดพรากจากพ่อแม่ เพราะในอดีตได้เคยไปสร้างบุญเป็นประธานทอดผ้าป่า ก่อนทำบุญก็มีปีติดี แต่วันงานจริงกลับไปหงุดหงิดว่าเขาจัดงานต้อนรับไม่ดีทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ทำบุญตั้งมากมาย ก็เลยเสียอกเสียใจ เพราะเป็นคนเรื่องมาก บุญเลยหก เพราะฉะนั้นจะไปทำบุญวัดไหนก็ตาม ต้องให้เหลือเรื่องเดียวคือจะเอาบุญ ไม่ต้องให้ใครมาเอาใจ ใครจะเอาใจหรือไม่เอาใจก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญเราต้องรักษาใจใส ๆ จึงจะถูกหลักวิชชาทำบุญแล้วก็หงุดหงิดเพราะความถือตัวดังนั้นบุญจึงมีวิบัติเจือปนส่งผลไม่เต็มที่ บุญที่เป็นประธานจึงทำให้ได้มารดาสูงศักดิ์ มีคุณพ่อเป็นที่เคารพนับถือในชุมชน แต่มีความสุขเพียงช่วงสั้นแค่ ๑๓ ปี เพราะว่า ก่อนทำมีปีติ แต่ขณะทำ และหลังทำไปแล้ว เรื่องมาก ไม่มีปีติ
ลูกได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนดี แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการเรียนเลย เพราะในอดีตลูกไม่ได้สนับสนุนญาติหรือลูกหลานให้ได้เล่าเรียน แต่ก็มีทานบารมีในระดับหนึ่ง จึงได้เรียนในโรงเรียนดี เป็นบุญปนบาป เพราะความหงุดหงิดถือตัว เรื่องนี้สำคัญมาก วางตัวได้ แต่อย่าถือ
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://www.dhamma01.com/book/11
ต้นฉบับ หนังสือ ที่นี่มีคำตอบ ๑
กลับสู่
สารบัญ หนังสือที่นี่มีคำตอบ