วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ในท้องมีพระธรรมกาย

วิธีนั่งสมาธิ จากหนังสือ ง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๑๓ ในท้องมีพระธรรมกาย
พระธรรมกายนั่นไซร้ อัตตา
ตนที่เที่ยงจริงนา ของแท้
มนุษย์เสาะแสวงหา ห่อนหยุด
ถูกที่กลางกายแล้ จักได้พบเจอ
ตะวันธรรม

       (เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ……..)
       …ให้ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ใน
ระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
        หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่ในบริเวณกลางท้อง ในระดับที่เรา
มั่นใจว่า เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่าฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญของใจเรา เป็นตำแหน่งที่ถูกต้องดีงาม
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระ
ปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย หลังจากที่ใจของท่านทิ้ง
ทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ใจของท่านจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
        ที่ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง เพราะท่านเห็นภัยในสังสารวัฏ
ภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดที่นับครั้งไม่ถ้วนในภพสาม คือ
กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภัยที่เกิดจากความไม่รู้เรื่องราวความ
เป็นจริงของชีวิต ไม่รู้ว่าตัวเองก็ยังไม่รู้อะไรเลย หรือแม้รู้ว่าตัว
เองไม่รู้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปศึกษาที่ไหนกับใคร เพราะฉะนั้นมัน
เป็นภัยในสังสารวัฏ
         ชีวิตในสังสารวัฏล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่ง
การกระทำของเราทางกาย ทางวาจา ทางใจ ความคิด คำพูด
การกระทำต่างๆ โดยที่เราไม่รู้เรื่องเลยว่ามีกฎนี้บังคับบัญชา
อยู่ แล้วยังมีกฎของไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความ
เป็นอนัตตา ความไม่เป็นตัวตนของตัวเอง และกฎเกณฑ์
ต่างๆ อีกมากมายที่มนุษย์สมมติขึ้นมา เป็นกฎหมายบ้าง กฎ
โน่นกฎนี่สารพัดไปหมด และก็อยู่ภายใต้กฎดังกล่าว อะไรนิด
อะไรหน่อยก็ล้วนมีผลทั้งสิ้น ถ้ามีกิเลสก็มีการสร้างกรรม พอ
สร้างกรรมก็มีวิบาก มีผลของการกระทำ ไม่ว่ากรรมดีหรือชั่ว
ก็จะมีภพรองรับ ทั้งทุคติและสุคติ ก็เวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆ
ซากๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้นชีวิตในสังสารวัฏจึงเป็นทุกข์
เพราะความไม่รู้นี่แหละ
       ช่วงใดที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
ก็คิดแต่จะละชั่ว ทำความดี ทำใจให้ใส สั่งสมบุญกุศลกันไป
ชีวิตก็สูงส่ง ละโลกแล้วไปเกิดในเทวโลกสุคติโลกสวรรค์ ช่วงใด
ประมาทในการดำเนินชีวิตจะด้วยความไม่รู้หรือเพราะอะไร
ก็แล้วแต่ ชีวิตก็จะตกต่ำพลัดไปในอบายในมหานรก อุสสทนรก
ยมโลก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
        ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ เวียนตายเวียนเกิดนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่า
จะเป็นชนชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง ล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น ชนชั้นล่าง
ก็ทุกข์แบบชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางก็ทุกข์แบบชนชั้นกลาง ชนชั้น
สูงก็ทุกข์แบบชนชั้นสูง มีทุกข์ประจำตัวกับทุกข์ที่จรมา เช่น
การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ปรารถนา
สิ่งใดไม่ได้ดังใจ ทุกข์จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย สารพัด
ทำให้โศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ พร่ำพิไรรำพัน
        เพราะฉะนั้น ท่านจึงเห็นภัยในวัฏสงสาร ก็แสวงหาทาง
หลุดพ้น และในที่สุดก็มาพบตอนที่ท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวาง
ทุกสิ่ง แล้วใจก็จะมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗ ที่กลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตำแหน่งตรงนี้จึง
เป็นตำแหน่งที่สำคัญ เป็นที่หยุดใจของเรา และของทุกๆ คน
เพราะเป็นต้นทางที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานไปสู่ความหลุด
พ้นจากกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นสาเหตุความทุกข์ทรมานของชีวิต
        ใจท่านจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ หยุดนิ่งกระทั่งถูกส่วน
ก็ตกศูนย์เข้าถึงดวงธรรมภายใน ลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ
        อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ
        อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
        อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
        ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ
เลย ดวงนี้เรียกว่า ดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนา
สติปัฏฐาน เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่เห็นได้ สัมผัสได้ เข้า
ถึงได้ ที่มาพร้อมกับความสุข ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่ไม่
เคยเจอมาก่อน เป็นความสุขที่ลาภยศสรรเสริญสุขให้ไม่ได้
ความพร้อมด้วยกามสุขให้ไม่ได้ ในเบญจกามคุณ รูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ให้ไม่ได้ เป็นความสุขที่เป็นอิสระ
กว้างขวาง ปรากฏเกิดขึ้น
        แล้วก็เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว เห็นไปตามลำดับ คือ มรรคผล
นิพพาน มีอยู่แล้วในตัว แต่ไม่รู้ว่ารู้มีอยู่ และไม่เฉลียวใจว่ามี อีก
ทั้งไม่ทราบวิธีที่จะเข้าไปถึง ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นชีวิตที่ซ่อนเร้น
อยู่ภายใน เป็นชั้นๆ เข้าไป ซ้อนๆ กันอยู่เห็นกายในกาย เช่น
        กายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกลาง กายมนุษย์หยาบ
        กายทิพย์ ซ้อนอยู่ในกลาง กายมนุษย์ละเอียด
       กายรูปพรหม ซ้อนอยู่ในกลาง กายทิพย์
       กายอรูปพรหม ซ้อนอยู่ในกลาง กายรูปพรหม
       กายธรรมโคตรภู ซ้อนอยู่ในกลาง กายอรูปพรหม
       กายธรรมพระโสดาบัน ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมโคตรภู
       กายธรรมพระสกิทาคามี ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระโสดาบัน
       กายธรรมพระอนาคามี ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระสกิทาคามี
       กายธรรมพระอรหัต ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระอนาคามี
       จะมีกายซ้อนๆ กันอยู่อย่างนี้ นับตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ
เรื่อยไปถึงกายสุดท้ายมีทั้งหมด ๑๘ กาย จะซ้อนเป็นคู่ๆ คือ
มีกายหยาบ-กายละเอียดของกายนั้น เป็นคู่ๆ ซ้อนๆ กันอยู่
โตใหญ่หนักขึ้นไปเรื่อยๆ บริสุทธิ์มากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ละ
กายก็จะเชื่อมโยงด้วยดวงธรรม ๑ ชุด ๖ ดวง คือ ดวงธัมมา
นุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ
และดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วข้างใน ไม่ได้ไป
ปรุงแต่ง แต่ว่ามนุษย์ไม่ทราบว่ามีอยู่
       ทั้งหมดนี้จะซ้อนๆ กันอยู่ภายใน เป็นชั้นๆ กันเข้าไป สิ่ง
ที่บริสุทธิ์กว่าจะซ้อนอยู่ในสิ่งที่บริสุทธิ์น้อยกว่า กายที่โตใหญ่
กว่าจะซ้อนอยู่ในกลางกายที่เล็กกว่า ของใหญ่อยู่ในของเล็ก
ได้เพราะละเอียดกว่ากัน บริสุทธิ์กว่ากัน
        คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ มุ่งเน้นเพื่อ
ให้เกิดความบริสุทธิ์คือให้ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจ สิ่งที่แปลก
ปลอมเข้ามาเป็นต้นเหตุให้ไม่พบกับความสุขมีแต่ความทุกข์
ทรมานของชีวิต ทำให้ไม่เป็นอิสระ ต้องเป็นบ่าวเป็นทาสของ
เขา เป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสของอาสวะ
        พระองค์จะสอนให้ชำระกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์เข้าไป
ถึงสิ่งที่บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นจนบริสุทธิ์ที่สุด คือ กายธรรมอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ด้วยวิธีการที่ง่าย ตรง ลัด
ประหยัดสุด ประโยชน์สูง คือ นำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
        ถ้าใครหยุดได้ก็เข้าถึงได้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เชื้อชาติ ศาสนา
หรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม ถ้าใจหยุดนิ่งอยู่ที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้ ก็เข้า
ถึงได้กันทุกคน ไม่มีเว้นเลย นี้เป็นสัจธรรม เป็นธรรมของพระ
อริยเจ้า คือเป็นความรู้ของพระอริยเจ้าที่ท่านค้นพบ แล้วก็เป็น
จริง ต้องเป็นอย่างนี้ ผิดจากนี้ไปไม่ใช่
         เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า มรรคผลนิพพานนั้นมีอยู่ในตัวของ
เราและของทุกคน มรรคผลนิพพานนั้นไม่พ้นกาลสมัย ไม่ใช่
ผูกขาดมีได้เฉพาะในสมัยพุทธกาล เพราะสัจธรรมมีอยู่ได้ตลอด
เวลา เนื่องจากอยู่ในตัวของเราและมนุษย์ทุกๆ คน มีอยู่ใน
กลางกายของสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะมนุษย์ที่เราจะเห็น
ได้ง่าย มีแต่ไม่รู้ว่ามีอยู่ ตรงนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญว่าใคร
จะประสบความสำเร็จสมหวังในชีวิตหรือไม่

       ความสมบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วยวัตถุภายนอก
เป็นความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมี
ขอบเขตจำกัด แล้วก็มีภาระที่จะต้องคอยรับผิด
ชอบ คอยดูแล มีเครื่องกังวลเยอะแยะ คือ ความ
สำเร็จที่มีภาระมีความกังวลปนอยู่ แต่ถ้าเข้าถึง
อริยทรัพย์ภายในดังกล่าวนี้จึงจะได้ชื่อว่าประสบ
ความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง เพราะปราศจาก
เครื่องกังวล ปราศจากภาระ ไม่มีขอบเขต เป็น
อิสระ กว้างขวาง เพราะฉะนั้นใครจะได้ชื่อว่า
ประสบความสำเร็จในชีวิตต้องเป็นชีวิต ๒๐๐
เปอร์เซ็นต์ ภายนอก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และ
ภายในอีก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

        เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผู้มีบุญในกาลก่อนโน้น
ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ วาสนา
พวกพ้องบริวาร แต่พอถึงจุดอิ่มตัวก็แสวงหาสิ่งที่ดีกว่า จึงมี
กุลบุตรออกจากตระกูลต่างๆ ทั้งชนชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง
กระทั่งถึงพระราชา มหากษัตริย์ ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง
ก็จะแสวงหาชีวิตที่สูงส่งกว่านี้ คือ ทางมรรคผลนิพพานนั่นเอง
        เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราต้องให้ความ
สำคัญเอาใจใส่ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวของเรา ที่ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา เราก็จะต้องใช้กายมนุษย์
หยาบให้มีคุณค่าอย่างเต็มที่ โดยเดินรอยตามพระสัมมาสัม
พุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านทำอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น
ท่านเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้นไปด้วย
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุธรรมดังกล่าวอย่างนี้
จนกระทั่งกาลเวลาผ่านมาหลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๕๐๐ ปี
โดยประมาณนั้น คำสอนเกี่ยวกับเรื่องการบรรลุมรรคผล
นิพพานดังกล่าว ด้วยการหยุดใจเข้าไปถึงพระธรรมกายที่อยู่
ภายในนั้นค่อยๆ แปรปรวนไป เพราะว่ามีนักคิด นักทฤษฎี นัก
ปรัชญาเกิดขึ้นมาก นักปฏิบัติก็ปลีกวิเวก ส่วนนักคิดอะไรต่างๆ
นั้นก็มักจะไม่ค่อยนิยมสนใจการปฏิบัติก็จะไปตีความหลัก
ธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปตามความเข้าใจ
ของตน ซึ่งมีความรู้ยังไม่สมบูรณ์
        เพราะฉะนั้น ความหมายที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องพระธรรมกาย
จึงแปรปรวนไป หาจุดที่จะนำไปสู่การปฏิบัติให้เข้าถึงได้ยาก แต่
ยังดีที่ยังคงคำว่า “ธรรมกาย” เอาไว้ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกทั้ง
เถรวาทและในมหายาน แต่ความหมายก็แตกต่างกันไป
        ดังนั้นหลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๕๐๐ ปี ผู้ที่จะรู้จัก
ธรรมกายอย่างแท้จริงจึงลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ แม้บางแห่ง
เช่น ในแผ่นดินจีน จะมีคำว่า ธรรมกาย หรือสอนกันแล้วก็บอก
ต่อๆ กันมาว่า ในตัวในท้องมีพระ แต่ก็อยู่ในวงจำกัด และใน
ที่สุดก็ค่อยๆ เลือนกันไป ก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมายาวนานถึง
สองพันกว่าปี
        จนกระทั่งเมื่อ ๙๒ ปี* ที่ผ่านมา คำว่า ธรรมกาย ที่มีความ
หมายอย่างแท้จริง และวิธีที่จะปฏิบัติเข้าถึงพระธรรมกายก็ถูกค้น
พบกลับคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระ
มงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านบวชมาได้ ๑๑ พรรษา กลาง
พรรษาที่ ๑๒ อายุได้ประมาณ ๓๓ ปี เพราะบวชเมื่ออายุ ๒๒ ปี
        หลังจากที่ผ่านการศึกษาทั้งภาคปริยัติ ภาคปฏิบัติ ตาม
ครูบาอาจารย์ต่างๆ แสวงไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจะหาคำตอบว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมอย่างไร บรรลุธรรมอย่างไรจึง
หลุดพ้นจากความทุกข์จากกิเลสอาสวะได้ เมื่อไม่เจอ ในกลาง
พรรษาที่ ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ที่โบสถ์ วัดโบสถ์บน บางคู
เวียง จังหวัดนนทบุรี ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ตรงนั้น ในยามเย็น
ของวันเพ็ญเดือน ๑๐ นั้น ท่านก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า
*พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี(สดจนฺทสโร)พระผู้ปราบมาร
บรรลุธรรมกลางพรรษาที่๑๒วันเพ็ญขึ้น๑๕ค่ำเดือน๑๐พ.ศ.๒๔๖๐

“วันนี้ถ้าเราไม่ได้บรรลุธรรมที่พระสัมมาสัม
พุทธเจ้าบรรลุ ก็จะไม่ลุกจากที่ แม้เนื้อเลือดจะ
แห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน
ไม่ได้ตายเถอะ ยอมตาย”

        แล้วท่านก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗ ซึ่งปกติก็เป็นธรรมชาติของใจ
ถ้าทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง มันจะกลับไปนิ่งอยู่ในที่ตั้งดั้งเดิม คือ
กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ แล้วท่านไม่ได้ทำอะไรอีกเลย ไม่ได้
คิดอะไรเลย ทำใจให้หยุดนิ่งอย่างเดียว เพราะท่านยังไม่รู้เลย
ว่า ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุนั้นอยู่ที่ตรงไหน เป็น
อย่างไร แต่ว่า ณ วันนั้นท่านมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวเอาชีวิต
เป็นเดิมพัน เพราะท่านเบื่อหน่ายจากความทุกข์ เห็นภัยใน
วัฏสงสารเช่นเดียวกับผู้มีบุญในกาลก่อน
        เพราะฉะนั้น ใจของท่านก็ปลอดโปร่ง แล้วก็ทำหยุดทำ
นิ่งอย่างเดียว นิ่งไปเรื่อยๆ แล้วท่านก็เห็นไปตามลำดับ จน
กระทั่งได้บรรลุพระธรรมกาย เมื่อบรรลุพระธรรมกายแล้ว ท่าน
ก็เปล่งอุทานในยามดึกว่า “เออ…มันยากอย่างนี้นี่เอง ถึงได้ไม่
บรรลุกัน ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ต้องรวมเป็นจุด
เดียวกัน เมื่อหยุดแล้วจึงดับ เมื่อดับแล้วจึงเกิด ถ้าไม่ดับ ก็ไม่
เกิด นี่เป็นของจริง ของจริงต้องอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนนี้ เป็น
ไม่เห็นเด็ดขาด”
        คล้ายๆ กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสรู้ใต้
โพธิบัลลังก์โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในวันที่พระองค์ตัดสินใจ
เด็ดเดี่ยว ถ้าไม่ได้บรรลุธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ก็จะไม่ลุก
จากที่ นั่งบำเพ็ญเพียรไปตั้งแต่ย่ำค่ำเรื่อยไปเลย ค่อนคืนจึงได้
บรรลุธรรมเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน แล้วก็เปล่งอุทานว่า

       “เมื่อใดธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์
ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของ
พราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ชัดธรรม
พร้อมทั้งเหตุ”

        คำว่า “พราหมณ์” หมายถึง นักบวช, บรรพชิต ที่มีความ
เพียรอย่างถูกหลักวิชชา
       เพียรเพ่งอยู่ “เพ่ง” ไม่ได้หมายถึงว่า จ้อง หรือลุ้น หรือ
เค้น หรือเน้นภาพ หรือตั้งใจมากเกินไป แต่หมายถึง ใจที่หยุด
นิ่งอย่างสบายๆ พอถูกส่วนธรรมก็บังเกิดขึ้น ทำให้ความสงสัย
ในสิ่งที่ตัวสงสัยในเรื่องหนทางแห่งการพ้นทุกข์มีจริงหรือ เราจะ
ทำได้หรือ และก็พบว่า มันมีจริง เราทำได้จริง เข้าถึงได้จริง
       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี พระองค์ก็
อุทานอย่างนั้น จนถึงรุ่งอรุณตอนเช้าเมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณแล้ว บรรลุกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พระองค์ทรงอุทานอย่างนั้นเหมือนกันว่า

       “เมื่อใดธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์
ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัด
มารและเสนามารเสียได้ ดำรงอยู่เหมือนดวง
อาทิตย์ผุดขึ้นมากำจัดมืด กระทำอากาศให้สว่าง
ฉะนั้น”

       หมายถึง ความมืด ด้วยความไม่รู้จริงอันใดในใจหมดสิ้น
ไปเลย พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เมื่อ ๙๒ ปี ท่านก็เป็นอย่างนั้น
แต่ท่านอุทานว่า “เออ…มันยากอย่างนี้นี่เอง ถึงได้ไม่บรรลุกัน
ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ต้องรวมเป็นจุดเดียวกัน
เมื่อหยุดแล้วจึงดับ เมื่อดับแล้วจึงเกิด ถ้าไม่ดับ ก็ไม่เกิด นี่เป็น
ของจริง ของจริงต้องอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนนี้ เป็นไม่เห็นเด็ดขาด”
       ดับวูบลงไป แล้วก็เกิดมาเป็นดวงใส เป็นกายภายใน แล้ว
ก็พบพระธรรมกาย
       เพราะฉะนั้น ท่านจึงเข้าใจคำว่า ธรรมกาย ได้ซาบซึ้งกว่า
เดิมมากมายนัก เพราะเข้าถึงตัวจริง เมื่อเข้าถึงแล้วก็รู้ว่าคือ
พระธรรมกาย เพราะกายนั้นบอกเองว่า นี่ธรรมกาย คือกาย
ทั้งก้อนประกอบไปด้วยธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หรือจะ
เรียกว่าเป็นที่รวมประชุมหมวดหมู่แห่งธรรม แห่งความบริสุทธิ์
ทั้งหมด
       กายก้อนนี้เป็นธรรมที่พ้นจากกฎของไตรลักษณ์ไปส่สูภาวะ
ที่เที่ยง เป็นอมตะ มั่นคง เป็นสุขล้วนๆ แหล่งกำเนิดแห่งความ
สุข และก็เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่น เหมือนดวง
อาทิตย์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง มีพลังงานในตัวเอง ไม่เหมือน
ดาวเคราะห์ทั้งหลาย
       เมื่อรู้จักคำว่าพระธรรมกาย และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ
พระธรรมกายในตัวแล้วตั้งแต่นั้นท่านก็ค้นคว้าเรื่อยมา
       เวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้ทุกคนตั้งใจประกอบความเพียรให้
กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา ให้สมกับว่าได้เกิดมาพบพระพุทธ
ศาสนาวิชชาธรรมกาย ให้ทุกคนประคับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระธรรมกายในตัวทุกๆ
คนนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันศุกร์ที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๑๓ www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ในท้องมีพระธรรมกาย”

  1. Niti Namsuwan

    น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานทรงคุณค่า
    จากหลวงพ่อธัมมชโย#คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *