วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมใด

วิธีทำสมาธิ จากหนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๑๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมใด
จงก้าวตามพ่อชี้ มัชฌิมา
เส้นทางพระสัมมา พุทธเจ้า
หยุดอยู่กึ่งกายา ทุกเมื่อ
พบโลกุตตรธรรมเก้า หลุดพ้นสังสาร

       เมื่อเราสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกัน
ทุกๆ คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวา
ทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วาง
ไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ พริ้มๆ พอ
สบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะ
       แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ปล่อย วาง ทำใจให้ว่างๆ คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ไม่ว่า
จะเป็นเรื่องของคนสัตว์สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การ
ศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ให้คลายความ
ผูกพันทั้งหมด ใจของเราจะได้เกลี้ยงๆ เหมาะสมที่จะได้เป็น
ภาชนะรองรับพระรัตนตรัยนะ
       คราวนี้เราก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้อง ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้
ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้าน
ซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัด
จะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของเรา

ฐานที่ ๗ ที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น

       ที่เกิด คือเป็นที่มาเกิดของเรา เวลาที่จะมาเกิดเป็นกาย
มนุษย์หยาบ เราก็จะเป็นกายละเอียดมาก่อน กายละเอียดที่มา
จากภพภูมิต่างๆ ก็จะเข้าทางปากช่องจมูกของบิดา ท่านหญิง
ข้างซ้าย ท่านชายข้างขวา แล้วก็เลื่อนไปอยู่ที่หัวตาตรงที่น้ำตา
ไหลซึ่งเป็นฐานที่ ๒ แล้วก็เลื่อนมาที่กลางกั๊กศีรษะ ฐานที่ ๓
มาที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๔ แล้วก็ไป
ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก ฐานที่ ๕ แล้วก็เคลื่อนไปหยุด
อยู่กลางท้องระดับเดียวกับสะดือ เรียกว่า ฐานที่ ๖ แล้วก็จะ
มาหยุดถอยหลังขึ้นมาอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของบิดา แล้วก็จะบังคับ
คือทำให้บิดามีความรู้สึกคิดถึงมารดาเพื่อจะดึงดูดเข้าหากัน
เพื่อประกอบธาตุธรรมส่วนหยาบห่อหุ้มกายละเอียดของเรา
       เมื่อประกอบธาตุธรรมถูกส่วนระหว่างบิดากับมารดาแล้ว
กายละเอียดของเราจะเคลื่อนออกจากฐานที่ ๗ ของบิดาไป ๖,
๕, ๔, ๓, ๒, ๑ ออกทางปากช่องจมูกบิดาเข้าทางปากช่องจมูก
ของมารดาไปตามฐานต่างๆ ดังกล่าวแล้วก็ไปหยุดอยู่ที่ฐานที่
๗ ของมารดาตรงที่ธาตุธรรมส่วนหยาบของบิดาที่แบ่งไปผสม
กับส่วนหยาบของมารดาและก็ไปอยู่ตรงนั้น
       แล้วต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของมารดาที่จะหล่อเลี้ยงกาย
ละเอียดที่หุ้มด้วยธาตุธรรมส่วนหยาบให้เจริญวัยขึ้นมาเป็น
ก้อนเนื้อเล็กๆ กระทั่งเติบโตมาเป็นกายมนุษย์หยาบของเราสู่
ครรภ์มารดา ถึงเวลาก็เคลื่อนออกมาสร้างบารมีด้วยกายมนุษย์
หยาบ นี่แหละที่เรียกว่า มาเกิด
       ที่ดับ เมื่อเป็นตัวเป็นตนเป็นกายมนุษย์หยาบแล้ว เวลาเรา
จะไปเกิดใหม่หรือตาย ใจเราก็จะอยู่นิ่งที่ฐานที่ ๗ ภาพกรรมนิมิต
ก็จะมาฉายให้เห็น สรุปบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดกระทั่งถึง
วันสุดท้ายของชีวิตว่า เราทำความดี ความชั่ว หรือไม่ดีไม่ชั่วอะไร
มาบ้าง กระแสอะไรแรงฝังใจมันก็จะมาฉายให้เห็นเป็นภาพยนตร์
ส่วนตัว ซึ่งเราจะเห็นด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้เป็นแบบเราชะโงก
มองเข้าไปในกลางท้อง จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนเราอยู่
ในเหตุการณ์นั้น
       ถ้าเป็นภาพที่ดี เพราะเราทำความดีเป็นกุศลกรรม ก็
จะทำให้ใจเบิกบาน คตินิมิตก็จะสว่าง เราก็จะเคลื่อนย้ายจาก
กายมนุษย์หยาบไปด้วยความปลื้มปีติเบิกบาน ออกไปแบบผู้
มีชัยชนะ เหมือนพระราชาที่รบชนะศึก รวบรวมแคว้นที่ชนะ
ได้แล้วออกจากแว่นแคว้นนั้นด้วยความเบิกบาน แล้วก็เคลื่อน
ย้ายจากฐานที่ ๗ ไป ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ เป็นกายละเอียดออก
ไปเกิดใหม่ เพราะฉะนั้นที่เกิดที่ดับก็อยู่ที่ฐานที่ ๗
       ที่หลับ คือ เวลาเราหลับทุกคืน ใจของเราจะมาอยู่ที่ฐาน
ที่ ๗ ตรงนี้ แล้วกายละเอียดก็ออกไปทำหน้าที่ฝัน จำได้บ้างไม่
ได้บ้างก็มารายงานกายเนื้อตอนตื่น ถ้าหลับแบบมีสติก็จะไม่ฝัน
ถ้าขาดสติก็จะฝันเป็นตุเป็นตะ บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราวแล้วแต่
ว่าจะเป็นความฝันประเภทไหน
       ที่ตื่น ก็ตื่นตรงนี้
เกิด ดับ หลับ ตื่น เริ่มต้นตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้

ฐานที่ ๗ ทางสู่อายตนพระนิพพาน

       สำคัญยิ่งไปกว่านั้นฐานที่ ๗ ยังเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่อายตน
นิพพานถ้าไม่ต้องการมาเกิดอีก แต่ต้องเดินตรงข้ามกัน คือ
เข้ากลางดิ่งเข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ โดยมีจุดเริ่มต้นตรงฐานที่ ๗ ที่
เดียวกันเลย และเป็นที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนเป็นบรม
โพธิสัตว์ เมื่อครั้งจะตรัสรู้ธรรมบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อท่านคลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
ทั้งทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่ผูกพันแล้ว ใจจะ
มาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรงนี้ นิ่งอย่างเดียวไม่เขยื้อนเลย พอถูก
ส่วนเข้าใจก็จะตกศูนย์วูบลงไป เหมือนตกสุญญากาศ วื้ดลงไป
แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมา
       อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ เห็นชัดใสแจ่มเหมือน
เราเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในยามราตรี แต่เห็นดวงดาวตอน
กลางคืนที่เราลืมตาดูนั้น มันไม่ได้มาพร้อมกับความสุขและ
ความบริสุทธิ์ แต่ว่าจุดเล็กใสเหมือนดวงดาวที่เกิดขึ้นด้วยใจ
หยุดนิ่งนี้มาพร้อมกับความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน เป็นความ
บริสุทธิ์ของใจที่เกลี้ยงเกลา จนรู้สึกว่าเราบริสุทธิ์ มันจะบังเกิด
ขึ้นพร้อมกับความพึงพอใจ กายก็สบายใจก็สบาย เบิกบาน
       อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็
ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้นหรือโตเท่ากับ
ฟองไข่แดงของไก่ประมาณนั้น จะใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่
เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย หรืออย่างน้อยก็ใสเหมือนน้ำแข็ง
ใสๆ ใสเหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้า ใสเกินใส แล้วก็จะ
สว่างมากเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านั้น ใสสว่าง
แต่ไม่เคืองตา ไม่แสบตา เป็นแสงที่ละมุนใจ มองแล้วมองอีกก็
สบาย มีความสุข แล้วใจจะนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เขยื้อนไปไหนเลย
       ใจของพระบรมโพธิสัตว์ก็จะเป็นอย่างนี้ นิ่งอยู่กลางดวง
ใสๆ ดวงใสดวงนี้คือจุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ที่จะ
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย ในเส้นทางสายกลางภายใน
       เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า วิสุทธิมรรค
       เส้นทางแห่งความหลุดพ้นที่เรียกว่า วิมุตติมรรค
       เส้นทางของพระอริยเจ้าที่เรียกว่า อริยมรรค
       ใจของท่านจะหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ นิ่งอย่างเดียวเลย มี
ความสุข ใจจะอยู่เย็นเป็นสุข นิ่งจนถูกส่วน ดวงนั้นก็จะขยาย
       ดวงนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านเรียกว่า ดวงปฐม
มรรค แปลว่า จุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน เพราะ
ฉะนั้นมรรคผลนิพพานนี้อยู่ภายในตัวของเราเอง แต่เราไม่รู้
ว่ามี เราจึงพูดกันไปเรื่อยเปื่อยว่า พ้นยุคพ้นสมัยในการบรรลุ
มรรคผลนิพพาน จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับยุคสมัยเลย เพราะมัน
อยู่ในตัวของเรา ขึ้นอยู่กับขยันหรือขี้เกียจและทำถูกหลักวิชชา
ไหม
       ใจของพระบรมโพธิสัตว์ก็จะนิ่งอยู่กลางดวงปฐมมรรคใน
เส้นทางเอกสายเดียว ที่เรียกว่า เอกายนมรรค เป็นเส้นทาง
เดียวเท่านั้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ไม่มีเส้นอื่น ถ้าเป็นดวง
ธรรมเขาเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นความ
บริสุทธิ์เบื้องต้น ที่จะส่งต่อให้เราไปถึงความบริสุทธิ์ถัดๆ ไป
เรื่อยๆ จนถึงปลายทาง
       พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะนิ่งอย่างนี้เรื่อยไปเลย แล้ว
ก็จะเห็นดวงใสๆ ในกลางดวงใสของปฐมมรรค ก็จะเข้าถึงอีก
ดวงหนึ่ง ซึ่งจะขยายมาจากจุดเล็กๆ ตรงกลางดวงปฐมมรรค
ออกมาเป็นอีกดวงหนึ่ง อีกมิติหนึ่ง อีกความละเอียดหนึ่งที่
เรียกว่า ดวงศีล กลมเหมือนกัน แต่ใสสว่างบริสุทธิ์กว่า ความ
สุขมากกว่า ความชัดใสสว่างก็มากกว่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะ
ไปในทำนองอย่างนี้ ท่านก็หยุดนิ่งต่อไป
       ในกลางดวงศีล ก็จะเข้าถึง ดวงสมาธิ
       หยุดอยู่ในกลางดวงสมาธิ ก็จะเข้าถึง ดวงปัญญา
       หยุดอยู่ในกลางดวงปัญญา ก็จะเข้าถึง ดวงวิมุตติ
       หยุดอยู่ในกลางดวงวิมุตติ ก็จะเข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
       ทั้งหมดนี้ ๖ ดวง (ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล
ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ) จะ
ซ้อนกันอยู่ภายใน ต่างมิติ ต่างความละเอียด ต่างความบริสุทธิ์
และความสุข จะเข้าถึงได้ด้วยการหยุดนิ่ง ไม่ต้องทำอะไรเลย
       ชุดหนึ่งมี ๖ ดวงจะเป็นเครื่องกลั่นใจเราให้บริสุทธิ์เพิ่ม
ขึ้น แล้วก็จะเชื่อมเข้าไปถึงกายละเอียดภายใน ซึ่งเป็นกายใน
กายภายในตัวของเรา
       กายแรกที่เราเข้าถึง คือ กายมนุษย์ละเอียด มีลักษณะ
เหมือนกับตัวเรา ต่างแต่ว่าเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่า อยู่ในวัยเจริญ
วัยสดใส นั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ภายใน เป็นกายที่มีชีวิตเหมือน
ตัวเราอย่างนี้ แต่ว่าเป็นชีวิตที่สูงส่งกว่า ละเอียดประณีตกว่า
สดใส บริสุทธิ์
       เมื่อเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดเราจะเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา
ว่า แต่เดิมเราเข้าใจว่า มีแต่กายมนุษย์หยาบที่เป็นตัวของเรา
แต่พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่เรา
เคยคิด กายมนุษย์หยาบเป็นประดุจบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของ
กายมนุษย์ละเอียดอีกชีวิตหนึ่งที่อยู่ภายใน ส่วนกายหยาบ
ข้างนอกเป็นแค่เปลือก เมื่อมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกผูกพันในกาย
หยาบจะลดลงไป คือรู้ว่าเป็นแค่กายอาศัยไว้สำหรับการสร้าง
บารมีเท่านั้น หรือเอาไว้สำหรับที่จะเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
เท่านั้น ความรู้สึกเราก็จะแตกต่างไปจากเดิม
          ใจของเราก็จะสงบนิ่งอยู่ภายในกายมนุษย์ละเอียด พอ
ถูกส่วนก็จะเคลื่อนเข้าไปตรงฐานที่ ๗ ของกายมนุษย์ละเอียด
ในทำนองเดียวกัน ก็จะเห็นดวงธรรมอีก ๑ ชุด ๖ ดวงดังกล่าว
ซ้อนอยู่ภายใน เป็นชั้นๆ เข้าไป ความสุข ความบริสุทธิ์ก็เพิ่ม
ขึ้น ก็จะเข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็จะเข้าถึงกายทิพย์หยาบ
       กายทิพย์หยาบ จะมีลักษณะแตกต่างจากกายมนุษย์
ละเอียด เป็นกายสำหรับเทวโลก ถ้าจะไปอยู่สวรรค์ก็ต้องกายนี้
กายอื่นอยู่ไม่ได้ กายมนุษย์ละเอียดอยู่ไม่ได้ กายมนุษย์ละเอียด
แค่หลุดออกจากกายหยาบ พอไปเกิดใหม่เป็นชาวสวรรค์กายนั้น
จะดับไปเกิดใหม่เป็นกายทิพย์ส่งกันต่อๆ อย่างนี้ อย่างรวดเร็ว
       กายทิพย์จะมีเครื่องประดับเหมือนสังคมของเทวโลก อยู่
ในอิริยาบถนั่งสมาธิเหมือนกัน สงบนิ่ง สวยงาม สดใส สว่างไสว
กว่ากายมนุษย์ละเอียด และในกลางกายทิพย์หยาบก็จะมีกาย
ละเอียดของกายทิพย์ เขาเรียก กายทิพย์ละเอียด เหมือนกาย
มนุษย์หยาบก็มีกายละเอียดของกายมนุษย์หยาบที่เรียกว่า กาย
มนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ภายใน ก็จะเป็นชั้นๆ อย่างนี้
       ในกลางกายทิพย์ละเอียดก็จะเข้าถึง กายรูปพรหมหยาบ
กายนี้เป็นกายที่เอาไปใช้มีชีวิตอยู่ในพรหมโลก ในรูปภพ กายอื่น
อยู่ไม่ได้ ต้องกายนี้ ถ้าได้รูปฌานสมาบัติก็จะมาอยู่พรหมโลก
ด้วยกายนี้ เป็นกายที่สวยงามยิ่งกว่ากายทิพย์หยาบ-ละเอียด
นั้นอีก อยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิ สวยงามทั้งลักษณะ คือ รูป
สมบัติ ทรัพย์สมบัติ คือเครื่องประดับ แล้วก็คุณสมบัติ ดวง
ปัญญา ความรอบรู้อะไรต่างๆ เพิ่มขึ้น คือมีสมบัติเพิ่มขึ้นทั้ง
รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ และจะมีกายละเอียดของ
กายรูปพรหมหยาบ คือ กายรูปพรหมละเอียด เช่นเดียวกับ
กายมนุษย์ กายทิพย์
       ถ้าใจมาถึงมันจะนิ่งแน่นหนักเข้าไปอีก พอถูกส่วนก็ผ่านดวง
ธรรมดังกล่าวอีก ๑ ชุด ๖ ดวง ก็จะเข้าไปถึง กายอรูปพรหม
หยาบ กายนี้เป็นกายที่เหมาะสมกับอรูปภพ ซึ่งเป็นที่สุดของ
ภพ ๓ กายอื่นไปอยู่ไม่ได้
       อรูปพรหม แปลว่า ไม่ใช่กายรูปพรหม ไม่ใช่แปลว่า พรหม
ไม่มีรูป เหมือน อมนุษย์ ไม่ได้แปลว่า ไม่มีมนุษย์ แต่แปลว่า
ไม่ใช่มนุษย์ อรูปพรหมก็แปลว่า ไม่ใช่กายรูปพรหม และกาย
อรูปพรหมที่อยู่อรูปภพก็มีกายละเอียด คือ กายอรูปพรหม
ละเอียด อีกชั้นหนึ่ง
       กายในกายเหล่านี้จะซ้อนๆ กันอยู่ภายใน ที่พระพุทธเจ้า
ทรงสอนให้ตามเห็นกายในกาย ก็หมายถึงกายประเภทอย่างนี้
แหละที่อยู่ในตัว
         เมื่อบรมโพธิสัตว์ทุกพระองค์มาถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งต่อไป ไป
ถึงกายที่สำคัญ คือ กายธรรม กายนี้อยู่ในภพ ๓ ไม่ได้ เนื่องจาก
บริสุทธิ์กว่า เป็นกายนอกภพ ๓ คือ กายทั้งกายบริสุทธิ์หมด
เลย เป็นธรรมล้วนๆ เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ถูกต้องดีงาม
ล้วนๆ งดงามยิ่งกว่ากายที่ผ่านๆ มา เพราะประกอบไปด้วย
ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ มีเกตุดอกบัวตูม คือ
ตั้งแต่กายอรูปพรหมลงไปถึงกายมนุษย์หยาบ ยังไม่มีลักษณะ
มหาบุรุษบริบูรณ์ขนาดนี้
       กายธรรมนี้จะเรียบง่ายไม่มีเครื่องประดับ เพราะเลยความ
รู้สึกผูกพันกับทิพยสมบัติแล้ว พ้นไปแล้ว อยู่ครึ่งทางระหว่าง
ความเป็นปุถุชนกับความเป็นพระอริยเจ้า เรียกว่าโคตรภูบุคคล
กายธรรมนี้จึงชื่อว่า กายธรรมโคตรภู คือครอบคลุมกายในภพ
๓ ทั้งหมด มีเกตุดอกบัวตูม ลักษณะคล้ายๆ ดอกบัวสัตตบงกช
ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ขนาดกำลังพอดีๆ ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม บน
พระเศียรที่มีเส้นพระศกหรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต
ตามเข็มนาฬิกา เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ นั่งขัดสมาธิสงบ
นิ่ง สวยงามมาก มีรัศมีสว่างไสว กายจะใสเกินใส ใสกว่ารัตนะ
ใดๆ ทั้งในโลกนี้ โลกอื่น และยิ่งกว่าในเทวโลก รัตนะที่มีอยู่
ในเทวโลก พรหม หรืออรูปพรหม ในภพทั้ง ๓ ไม่อาจสวยงาม
หรือสูงส่งเสมอเหมือนรัตนะของกายนี้
       รัตนะ แปลว่า แก้ว เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความปลื้มปีติ สุขใจ
พึงพอใจสูงสุด เป็นของใสๆ แต่รัตนะในที่นี้ คือ พุทธรัตนะ ยิ่ง
กว่านั้นอีก กายของท่านจะใสบริสุทธิ์เกินความใสใดๆ ในภพ
ทั้ง ๓ มีรัศมีสว่างมากด้วยตัวของตัวเอง อยู่ในที่มืดก็สว่าง ที่
แจ้งก็สว่าง สว่างกลบรัศมีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว
กลบหมด
       แล้วยังเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วด้วยกายธรรมที่เข้าถึงนี้
แหละ เพราะท่านมีธรรมจักษุ มีดวงตาที่เห็นแตกต่างจากดวงตา
ของอรูปพรหม รูปพรหม กายทิพย์หรือมนุษย์ที่อยู่ในภพ๓
เพราะท่านเห็นได้รอบตัว โดยไม่ต้องเหลียว อยู่ในที่เดียวกัน
แต่เห็นไปทุกทิศทุกทาง เห็นในอดีตก็ได้ ปัจจุบันก็ได้ อนาคต
ก็ได้ ห้อดีตปัจจุบันอนาคตมาอยู่ ณ จุดเดียวกันก็ได้ รอบตัว
เลย ที่เราคงได้ยินคำว่า สมันตจักษุ ปัญญาจักษุ และทิพยจักษุ
       ธรรมจักษุนี้ครอบคลุมการเห็นเหล่านั้นทั้งหมด การเห็น
ของท่านนอกจากแตกต่างแล้วยังเป็นการเห็นที่วิเศษจริงๆ
เพราะทำให้เราเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ทำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ เพราะว่ามองเห็นชีวิตที่ผ่านมาที่เรา
ลืมไปแล้วได้ และก็เรื่องราวที่เราประกอบเหตุปัจจุบันจะเป็นผล
ในอนาคตได้ และก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับฉากหลังพญามาร กิเลส
อาสวะ อะไรต่างๆ เหล่านั้นได้
       ธรรมจักษุนี้เป็นการเห็นที่วิเศษ ที่แจ่มแจ้ง เหมือนดึงของ
ที่อยู่ในที่มืดที่เราก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาสู่กลางแจ้ง ให้โดนแสง คือ
เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งแทงตลอด แตกต่างจากการเห็นที่ผ่านๆ
มาดังกล่าวแล้ว จึงมีอยู่คำหนึ่งที่เขาใช้แล้วเราก็คุ้นเคย คือ คำ
ว่า วิปัสสนา
       วิ แปลว่า วิเศษ แจ้ง ต่าง
       ปัสสนา แปลว่า การเห็น
      การเห็นที่วิเศษ แจ่มแจ้ง แตกต่าง รวมแล้วเรียกว่าวิปัสสนา
จะเริ่มต้นเมื่อเข้าถึงกายธรรมนี้เป็นเบื้องต้นนี่แหละ เข้าถึงกาย
ธรรมโคตรภูที่มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างที่เรา
สวดในธรรมจักร จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
       เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ตื่นจากความฝัน ประดุจโลกมายา
ของชีวิตในสังสารวัฏ และก็ตื่นตัวด้วย คือ มีชีวิตชีวา เบิกบาน
มีความสุขด้วยตัวของตัวเอง เป็นอิสรภาพ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่
ยิ่งใหญ่มาก มีความสุข เบิกบาน แม้จะอยู่ในภูเขา ในถ้ำ ห้วย
หนอง คลอง บึง ลอมฟาง เรือนว่าง โคนไม้ ที่แจ้งไปตามลำพัง
ก็มีความสุข นี่คือกายธรรมโคตรภู เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
และก็เป็นตัวพระรัตนตรัยด้วย
       กายธรรมนี้คือ พุทธรัตนะ พุทธรัตนะจะตั้งอยู่ได้ก็ต้องมี
ธรรมรัตนะ ทรงรักษาเอาไว้ แล้วก็เป็นคลังแห่งความรู้ คลัง
แห่งปริยัติจึงเรียกว่า ธรรมรัตนะ ความรู้จะออกมาจากตรงนี้
จะเป็นดวงใสๆ กลมรอบตัวอยู่ในกลางพุทธรัตนะ
       ในกลางกายธรรมโคตรภูก็จะมีกายละเอียดเหมือนกายที่
ผ่านๆ มา เขาเรียกว่า กายธรรมโคตรภูละเอียด เป็นประดุจ
สังฆรัตนะ ที่รักษาอยู่ เพราะว่าอยู่ตรงกลางธรรมรัตนะ คือเข้า
กลางดวงธรรมรัตนะจะเห็นสังฆรัตนะ เป็นกายละเอียดของ
ธรรมกายโคตรภูจะรักษาธรรมรัตนะเอาไว้ เหมือนพระสงฆ์ทรง
จำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักษาพระธรรมเอาไว้ แล้ว
พระธรรมก็เป็นตัวแทนเป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
       พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แยกออกจากกันไม่ได้ แม้
มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ทำกันคนละภารกิจ แต่จะรวมประชุม
เป็นหนึ่งเดียว เหมือนเพชรที่มีทั้งสี ทั้งแวว ทั้งความใส สีของ
เพชร แววของเพชร ความใสของเพชร รวมประชุมอยู่ในเพชร
เม็ดเดียวกัน แยกออกจากกันไม่ได้ พระรัตนตรัยก็เป็นอย่างนี้
พระบรมโพธิสัตว์ก็จะเข้าถึงกายธรรมอย่างนี้ แล้วก็จะ
ถอดออกเป็นชั้นๆ เข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าถึงความเป็น
พระอริยเจ้า ตั้งแต่ความเป็นพระโสดาบัน ความเป็นพระสกิ
ทาคามี ความเป็นพระอนาคามี ความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งจะ
มีลักษณะเหมือนกัน ต่างแต่ขนาด
       กายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
       กายธรรมพระสกิทาคามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
       กายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
       กายธรรมพระอรหัตตผล หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา
       ทั้งหมดมีหยาบ มีละเอียด กายธรรมส่วนหยาบก็เรียกว่า
มรรค เช่น โสดาปัตติมรรค ถ้ากายธรรมส่วนละเอียดก็เป็นผล
ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล เพราะฉะนั้นมรรคผลนิพพานอยู่ในตัว
ของเรานี่แหละ
       พระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการหยุดนิ่งอย่างเดียว
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ เมื่อบรรลุแล้วท่านก็นำมา
ถ่ายทอดให้กับมนุษย์และเทวดาผู้มีบุญทั้งหลายที่ทำตามพระ
องค์ เพราะพระองค์เห็นว่า มนุษย์ เทวดา สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ก็มีเช่นเดียวกับพระองค์ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมี และไม่มีความรู้ว่า
ตัวเองยังไม่รู้เลย เนื่องจากถูกอวิชชาบดบังเอาไว้ เพราะฉะนั้น
ท่านจึงถ่ายทอดสั่งสอน ตั้งแต่บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เรื่อยมาเลย ๔๕ พรรษา จนกระทั่งดับขันธปรินิพพานเป็นคำ
สอนแบบเดียวกันทุกพระองค์นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ก็จะ
สอนอย่างนี้
       เพราะฉะนั้น ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จึงมีความสำคัญมาก
ที่ลูกทุกคนต้องทำความรู้จักแล้วก็เอาใจใส่ เอาใจของเรามาใส่
ตรงนี้ มาหยุดมานิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพื่อที่เราจะได้
เดินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบรรลุมรรคผลนิพพาน
อย่างไร เราก็จะบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างนั้น

พระคุณของหลวงปู่ฯ

       ความรู้นี้คือคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกบันทึกไว้ใน
พระไตรปิฎก แต่ว่ายากต่อการนำมาปฏิบัติ จนกระทั่งมีการ
บังเกิดขึ้นของพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด
จนฺทสโร) พระผู้ปราบมารที่เมื่อ ๙๐ กว่าปีที่แล้ว ท่านสละ
ชีวิตในกลางพรรษา ๑๒ ที่โบสถ์ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ดังที่
เราได้ทราบประวัติมาแล้ว ท่านได้สละชีวิต ทั้งทรัพย์อวัยวะ
ชีวิต เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ แล้วใน
ที่สุดก็ได้บรรลุธรรมตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพยานแห่ง
การตรัสรู้ธรรม ยืนยันว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมและ
สั่งสอนมานั้นถูกต้อง เป็นจริง และดีงาม เข้าถึงได้จริงในยุคนี้
ไม่พ้นกาลสมัย
       เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านได้บรรลุธรรมแล้ว
ท่านก็ไม่หวงแหนความรู้นี้ได้นำมาถ่ายทอดแล้วก็สรุปบทเรียน
มาเป็นวิธีการ ในการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานตามรอย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นว่าทำเพียงประการเดียวคือ หยุดนิ่ง
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ หยุดนี่แหละจะเป็นตัวสำเร็จ
เมื่อใจอยู่ในตำแหน่งแห่งความสำเร็จ ใจก็จะเป็นธาตุสำเร็จให้
เราได้บรรลุมรรคผลนิพพานอย่างนี้
       เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่ ให้ลูกทุกคนนึกถึงพระเดช
พระคุณหลวงปู่ฯ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ
ให้ใจใสๆ นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เป็นอารมณ์ทั้งวัน
เลย ให้นึกถึงท่านด้วยความเลื่อมใส ระลึกนึกถึงพระคุณท่าน
ที่สอนวิธีการให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ถึงที่พึ่งที่ระลึก
ภายใน อย่าให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น ประคองใจกันไปอย่างนี้นะ
วันศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 2 บทที่ 11 www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมใด”

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *