วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ศูนย์กลางกายฐานที่๗

วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก เล่ม ๒ บทที่ ๔ : ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗

อยู่ที่แคบแต่กว้าง กว่าใด
อยู่ที่กว้างกลับแคบไซร้ แปลกแท้
เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ใจ ใช่สิ่ง ใดนา
หยุดอยู่ฐานเจ็ดแล้ หลุดไร้พรมแดน
ตะวันธรรม

       เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับ
มือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วาง
ไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
       หลับตาของเราเบาๆ หลับแค่ค่อนลูก อย่าถึงกับปิด
สนิทนะ พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่า
ไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
       แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ปล่อย วาง ทำใจให้ว่างๆ แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของ
เรานั้นปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น
ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง กลวง
ภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ

ศูนย์กลางกายฐานที่๗

       คราวนี้เรามาทำความรู้จักฐานที่ ๗ ของเราภายใน
       ฐานที่ ๗ เป็นฐานที่ตั้งดั้งเดิมของใจเรา เป็นที่อยู่ของใจ
ที่ถูกต้อง ถ้าใจเราอยู่ตรงนี้ จะมีแต่ความผาสุก สงบ เบิกบาน
แช่มชื่น แต่ว่าใจเราเตลิดเปิดเปิงออกไป เพราะมีสิ่งที่มาดึงใจเรา
ออกจากที่ตั้งดั้งเดิมตรงนี้ ให้ไปติดในเรื่องราวภายนอก ทำให้
เราไม่ได้พบความสุขที่แท้จริง แม้เราปรารถนา
       บางครั้งเรารู้สึกอยากอยู่เงียบๆ เพราะเราเบื่อสิ่งแวดล้อม
เบื่อภารกิจประจำวันที่จำเจซ้ำซาก หรือบางทีมันก็เบื่ออย่าง
ไม่มีสาเหตุ เราอยากไปอยู่ในที่ไกลๆ ที่ไหนสักแห่งที่เงียบๆ
แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน บางคนถึงกับเข้าใจว่า มันคงอยู่ต่าง
ประเทศ ถ้าได้ออกนอกบ้าน ออกนอกประเทศ ไปต่างประเทศ
ที่ไกลๆ เราคงจะเจอที่เงียบๆ ที่ทำให้ใจเราสงบสุข แต่พอเรา
ไปแล้ว เราก็ไม่เจอนะ ได้แต่ความเหนื่อยกลับมา

       จริงๆ แล้ว ความสงบสุขที่เราแสวงหา หรือ
ที่เงียบๆ ที่แตกต่างจากชีวิตประจำวัน ที่เรา
จำเจอยู่กับการงาน กับผู้คน กับสัตว์ สิ่งของ
ต่างๆ เหล่านั้น มันอยู่ตรงศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗ ตรงนี้เอง แค่เราหลับตาเบาๆ ทำใจให้
เบิกบาน สบาย แล้วให้เรารู้ว่าฐานที่ ๗ อยู่ที่
ตรงไหน เราก็จะพบในสิ่งที่เราต้องการ

       ฐานที่ ๗ นั้นอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือ
จากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ฐานที่ ๗ นี้ เราเห็นได้ แต่จะเห็นได้ต่อ
เมื่อใจมันหยุด ไม่ไปไหนแล้ว หยุดนิ่งได้สนิทติดตรงกลางท้อง
เหมือนเอากาวชั้นดีมาทาใจติดตรึงเอาไว้ตรงนั้น นั่นแหละถึง
จะเห็น เห็นชัดเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอกอย่างนั้นนะ
แต่ถ้าใจไม่หยุด ก็ไม่เห็น
       อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องศึกษาเอาไว้ว่า ฐานที่ ๗ อยู่ใน
กลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า เรามีเส้น
ด้าย ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้าน
หลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย
       ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับ
ปลายเข็ม ให้เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วก็ไปตั้ง
ตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียก
ว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าหลวงพ่อพูด
ถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือไปได้ยินที่ไหนก็ตาม ก็หมาย
เอาตรงนี้นะ

ความสำคัญของฐานที่ ๗

       พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านค้นพบว่า ฐานที่ ๗ เป็นที่เกิด ที่ดับ
ที่หลับ ที่ตื่น เกิด ดับ หลับ ตื่น ตรงนี้
       เวลามาเกิด เริ่มต้นจากบิดามามารดา โดยเริ่มต้นจาก
ฐานที่ ๑ (ปากช่องจมูก) ของบิดา ไล่เรื่อยไป ฐานที่ ๒ (ที่หัว
ตา) ฐานที่ ๓ (กลางกั๊กศีรษะ ในระดับหัวตาของเรา) ฐานที่ ๔
(เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก) ฐานที่ ๕ (ปากช่องคอ
เหนือลูกกระเดือก) ฐานที่ ๖ (ตรงจุดเส้นด้ายตัดกัน) แล้วก็มา
อยู่ที่ฐาน ๗ ของบิดา คือ เราเป็นกายละเอียด ไม่ว่าจะมา
จากภพภูมิไหนก็แล้วแต่ เมื่อได้จังหวะที่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็ต้องเข้าทางนั้นโดยผ่านมาทางบิดาก่อน แล้วก็จะดึงดูดเข้าหา
มารดา มันจะเป็นอัตโนมัติเลย ถ้าเราตั้งอยู่ในกลางบิดาก็จะ
ต้องดูดเข้าไปหากันเพื่อที่จะถ่ายทอดประกอบธาตุธรรมส่วน
หยาบ แล้วกายละเอียดเราจะได้อาศัยเมื่อประกอบธาตุธรรม
ส่วนหยาบได้ถูกส่วน เราก็จะหลุดจากฐานที่ ๗ ไปตามฐาน
ต่างๆ ออกมาฐานที่ ๑ แล้วเข้าปากช่องจมูกของมารดา มา
อยู่ฐานที่ ๗ นี่จำคร่าวๆ อย่างนี้ก่อน
       แล้วก็หล่อเลี้ยงด้วยธาตุหยาบของมารดา ใจของเรากับ
มารดาจะเป็นอันเดียวกันเลยตรงฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นมา
เกิดก็มาเกิดตรงนี้
       ทีนี้สิ่งที่น่าศึกษาต่อไป ซึ่งเราจะต้องใช้ นั่นคือ ตายก็ต้อง
ตายตรงนี้ ตรงฐานที่๗
       ไม่ว่าจะตายแบบไหนก็ตาม จะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือเจ็บ
ไข้ได้ป่วยตาย จะต้องเริ่มตรงฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นฐานที่ ๗
จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวกับชีวิตของเรา เป็นสิ่ง
ที่เราจะต้องเจอ แล้วตอนนั้นใครจะมาช่วยอะไรเราไม่ได้ใครจะ
มาทำให้เราเป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็นนั้นไม่ได้ เราต้องทำเอง
แต่เราศึกษา เราเรียนรู้ เราฝึกฝนได้
        หลักวิชชามีอยู่ว่า
       ใจใสไปสวรรค์ ใจหมองไปนรก
       เราจะต้องฝึกใจให้ใสๆ เอาไว้ที่ฐานที่ ๗ อยู่เรื่อยๆ
อย่าให้ใจขุ่นมัว ให้ใจดี อารมณ์ดี เป็นกุศลธรรม
       ใจต้องเป็นกุศลธรรม ถึงจะเรียกว่า ใจดี อารมณ์ดี ไม่ใช่ว่า
เราไปดูเขาเล่นตลกแล้วเราหัวเราะขำๆ จะกลายเป็นคนอารมณ์ดี
อย่างนั้นไม่ใช่นะ นั่นแค่คลายความเครียด แต่อารมณ์ยังไม่ดี
       อารมณ์จะดีอยู่ที่ใจมีกุศลธรรม จำง่ายๆ คือ “มีบุญ” ได้
สั่งสมบุญด้วยทาน ศีล ภาวนา จนกระทั่งเห็นความใสของใจ
คำว่า “เห็น” ในที่นี้ ก็เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก เห็นคน
สัตว์ สิ่งของ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ต้นหมากรากไม้
ภูเขาเลากาอย่างนั้นนะ ต้องเห็นความใสของใจที่บริสุทธิ์ มัน
จะเป็นดวงใสๆ อยู่ที่ฐานที่ ๗
       เวลาเราตายก็จะเริ่มตรงนี้ คือ เริ่มออกจากฐานที่ ๗ ไป
๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ จะตายอย่างกะทันหัน หรือจะตายด้วยวิธี
ไหนก็แล้วแต่ ถ้ากะทันหันก็หลุดไปเร็ว แต่หากเจ็บไข้ได้ป่วยก็
จะค่อยเป็นค่อยไป
       เพราะฉะนั้น ที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น ก็ต้องเริ่มที่ศูนย์
กลางกายฐานที่ ๗
และนอกจากนี้ ถ้าจะไปพระนิพพาน ก็ต้องเริ่มตรงนี้
เหมือนกัน ถ้าจะไปเกิดก็เดินนอกออกไป คือ เดินไปตามฐาน
๗, ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ กายละเอียดออกไปทางปากช่องจมูก
ตามปกติของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
       ทีนี้ถ้าไม่อยากจะมาเกิดอีกแล้ว เพราะเห็นโทษภัย
ในวัฏสงสาร เห็นจนเบื่อหน่ายสุดขีด ไม่ใช่เบื่อๆ อยากๆ
เบื่อแล้ว หมดความจำเป็นแล้วในภพสาม เป็นอะไรมาเกือบ
หมดทุกอย่างแล้ว เป็นคนเคยรวย หรือรวยจนเคย เราก็เป็น
มาแล้ว
       ชีวิตก็มีแต่ขึ้นๆ ลงๆ ชาติไหนไม่ประมาท ไม่ตระหนี่
สั่งสมบุญกุศลเอาไว้ ชาติถัดมาชีวิตก็สูงส่ง ถ้าชาติไหนเกิด
บุญเก่าส่งผลให้มาประสบความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจการงาน
เพราะตัวอธิษฐานไว้ขอให้รวยอย่างเดียว พอเกิดมารวย ทำ
อะไรก็สำเร็จทุกอย่าง จนกระทั่งเกิดความมั่นใจในตัวเองเกิน
ไป มีความคิดว่า ที่เรารวยก็เพราะว่าขยันหมั่นเพียร ประหยัด
อดออม อดทน มีกำลังใจ สติปัญญา มีความรอบรู้เรื่องธุรกิจ
การงาน จึงประสบความสำเร็จขึ้นมา ก็นึกว่าเป็นเพราะความ
สามารถของเรา เลยไม่เชื่อเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องภพชาติ การ
เวียนว่ายตายเกิด
       พอไม่เชื่อก็ดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ชะล่าใจ ประหยัด
เสียจนเคย จนกลายเป็นความตระหนี่ แม้การสร้างบุญก็ตระหนี่
หวงแหนทรัพย์ เพราะคุ้นเคยกับการลงทุน ทรัพย์ได้มานั้นต้อง
เปลี่ยนไปเป็นเม็ดเงินที่แปรกลับมา ๑ เม็ดเงินไป ต้อง ๑๐๐
เม็ดเงินมา มันก็จะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้จนหมดเวลาของชีวิต
       พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง ความเป็นอยู่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เกิดใหม่ก็ลืมสิ่งเก่าๆ ไปหมด เหมือนเรารับประทานอาหาร
เมื่อวาน วันนี้เรายังลืมว่าทานอร่อยอย่างไร รสชาติเป็นอย่างไร
พอมันลืม ชีวิตก็ทุกข์ระทม กลายเป็นคนเคยรวย หรือประมาท
พลาดพลั้งก็ไปอบาย
       เมื่อเห็นชีวิตขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ เกิดความเบื่อหน่าย
อย่างแรงกล้า อยากจะพ้นทุกข์ พ้นจากภพสาม พ้นจากการ
เวียนว่ายตายเกิด อยากไปนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีแต่
เอกันตบรมสุข สุขอย่างยิ่ง อย่างเดียว เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็ต้อง
แสวงหาหนทาง ซึ่งบทสรุปก็คือ ต้องเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗ ตรงนี้ โดยเดินในเข้าไป เข้ากลางไปเรื่อยๆ
ทีนี้จะเข้ากลางได้ก็ต้องเห็นกลาง ถ้าชีวิตแบบธรรมดา
มันไม่ได้เห็นกลาง มันไปตามฐาน แต่ว่าผู้ที่จะไปนิพพานต้อง
เห็นกลาง ต้องเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ ต้องเดินในเส้น
ทางมัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลางภายใน ทางแห่งความ
บริสุทธิ์ หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย เป็นเส้นทางของพระ
อริยเจ้าที่เรียกว่า อริยมรรค
       อริยมรรค หนทางของพระอริยเจ้าจะเริ่มต้นตรงฐานที่ ๗
โดยการวางใจหยุดนิ่งเฉยๆ อย่างสบายๆ ไม่ใช่อย่างลำบากๆ
แค่วางใจนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไมที่กลางกาย จะนึกเป็น
ภาพให้เป็นหลักยึดของใจในเบื้องต้นก่อนก็ได้ เพื่อให้ใจไม่
ไปคิดเรื่องอื่น เป็นภาพองค์พระบ้าง ดวงแก้วบ้าง เป็นเพชร
เป็นพลอย ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ของใสๆ ของสูงๆ
สูงทั้งมูลค่า สูงทั้งคุณค่า และสูงทั้งที่สูง อย่างดวงอาทิตย์ ดวง
จันทร์ ดวงดาว เป็นต้น ไว้ในกลางกายฐานที่ ๗ ก็ได้ วิธีนี้เหมาะ
สำหรับคนช่างฟุ้ง ฟุ้งฝัน หรือคุ้นเคยกับการนึกคิด ก็ต้องแปรมา
ให้นึกภาพสิ่งเหล่านี้แทนภาพธุรกิจการงาน คน สัตว์ สิ่งของ
       หรือบางคนสามารถปล่อยวางอารมณ์ได้ แล้วก็เป็นคนมี
อัธยาศัย ถ้านึกเป็นภาพแล้วอดกดลูกนัยน์ตาลงไปดูในกลางท้อง
ไม่ได้ อดที่จะเค้นภาพให้ทะลักมาในกลางท้องไม่ได้ เป็นเหตุให้
ปวดศีรษะ บางคนก็ขี้สงสัยว่า ที่เห็นขึ้นมานี่ เพราะเรานึกไปเองมั้ง
ถ้าเป็นคนประเภทอย่างนี้ ก็ไม่ต้องนึกเป็นภาพ ให้วางใจนิ่งเฉยๆ
นุ่มๆ ละมุนละไม แค่ทำความรู้สึกว่า ใจอยู่ในกลางท้องในระดับ
เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ไม่ต้องกังวลเลยว่า ตรงฐานที่ ๗
หรือไม่ โดยทึกทักเอาเลยว่า กลางท้องก็ใช่แล้ว ตรงนั้นแหละ
ทำเป็นสาวมั่น หนุ่มมั่น มั่นใจว่า ใช่เลย ใช่แล้ว แล้วก็วางใจ
นิ่งเฉยๆ อย่างนั้น
       จะประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง ไป
ด้วยก็ได้ ประคองใจไป ภาวนาไป แต่ไม่ใช่ท่องนะ ภาวนาใน
ใจคล้ายๆ เป็นเสียงเพลงที่เราคุ้นเคยที่ดังขึ้นมาเองอย่างนั้น
หรือบทสวดมนต์ที่เราชอบ อย่างเช่น องค์ใดพระสัมพุทธฯ
อย่างนั้นให้เสียงเหมือนเป็นเสียงสำนึกละเอียดมาจากที่ลึกๆ
ไกลๆ ภายในกลางท้องของเรา นี่ถ้าเราจะภาวนา สัมมา อะระหัง
ประคองใจ ต้องทำอย่างนี้นะ
       เราภาวนาไปจนกว่าไม่อยากจะภาวนาต่อไป ถ้าเมื่อไรเกิด
ความรู้สึกไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากวางใจเฉยๆ อยาก
อยู่นิ่งๆ เงียบๆ โดยไม่มีเสียงอะไรเลย และก็ไม่มีความคิด
อื่นใดอย่างนี้ก็ได้ จะนึกแล้วนิ่งก็ได้ จะนิ่งโดยไม่ต้องนึกก็ได้
ได้ทั้งสองวิธีนะ วัตถุประสงค์ต้องการให้ใจหยุดนิ่งตรงฐานที่ ๗
กลางท้องนี่แหละ หยุดเป็นตัวสำเร็จ ที่จะทำให้เราเข้าถึงความ
สุขที่แท้จริง
       ความสงัดจะสงัดจากกายวิเวก จิตวิเวก และอุปธิ
วิเวก สงัดกาย อยากอยู่เงียบๆ ก็หลับตาเสีย มันก็ไม่เห็น
อะไรแล้ว อยากจะให้จิตวิเวกก็อย่าไปคิดเรื่องอะไร ทำนิ่งเฉยๆ
เดี๋ยวอุปธิวิเวกก็จะเกิดขึ้นมาเอง
       ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ คือสถานที่ที่เราจะต้องไป
มีระยะทางแค่ศอกเดียว จากปากช่องจมูกถึงศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง เสียค่าพาสปอร์ต วีซ่า
ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แค่หลับตาเบาๆ ทำใจให้สบาย
ให้หยุด ให้นิ่ง เดี๋ยวก็จะเข้าไปถึงดวงธรรมภายใน ซึ่งเป็นดวง
ธรรมที่สุกใส ใสเหมือนกับเพชรหรือยิ่งกว่านั้น
       เบื้องต้นอาจจะใสเหมือนน้ำ เหมือนกระจกคันฉ่องส่อง
เงาหน้า หรือเหมือนเพชรที่เจียระไนแล้ว ลักษณะทรงกลม มี
ความใส นุ่มเนียนตา ละมุนละไม เกิดขึ้นมาตรงกลาง เป็นดวง
ใสๆ ยิ่งเรานิ่งก็ยิ่งใส ใสในใส ใสในใส ใสมาก นั่นแหละคือ
จุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
       ความสุขจะพรั่งพรูออกมา เป็นความสุขที่แท้จริง ที่แตก
ต่างจากที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นความสุข และเราจะพ้นจากความ
กังวลใจว่า ชีวิตนี้เราเคยกังวลว่า เราจะต้องพึ่งคนโน้นคนนี้
เพื่อให้เราหายเหงาในชีวิต ความคิดต่างๆ เหล่านี้จะหมดไปเลย

       เพราะที่พึ่ง ที่เราเข้าใจว่า คนนั้นคนนี้จะเป็น
ที่พึ่งแก่เรา ไม่ว่าจะหนุ่ม จะสาว แก่เฒ่า ชรา มี
ทรัพย์มาก ทรัพย์น้อยก็ตาม ในที่สุดก็เหลวทั้งนั้น
พึ่งไม่ได้ เพราะมันมีไซด์เอฟเฟ็ค (sideeffect) มี
ผลข้างเคียง เนื่องจากมนุษย์เป็นที่รวมของปัญหา
อยู่ในตัว มันจะสำแดงออก หรือไม่สำแดงออก
เท่านั้น มันมีระเบิดเวลาอยู่ในตัวทุกคนในโลก ถ้า
หวังไปพึ่งมนุษย์ที่มีระเบิดเวลาอยู่ในตัว ตอนที่ยัง
ไม่ระเบิด ก็ดูอารมณ์ดี พอระเบิดตูมมาอารมณ์
เสียเข้า ความเครียดก็ระบาด ระบาดมาถึงเราผู้
อยู่ใกล้ชิดที่สุดกับเขา อย่างนี้มันก็กลุ้มนะ
       แสดงว่าสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ที่พึ่ง ที่เราคิดว่าจะช่วย
ให้หายเหงา มันหายเหงาใจ แต่มันกวนใจตลอด
ทำให้ใจเราขุ่น แล้วก็กลุ้ม เวลาเจอสังคมภายนอก
ก็ต้องหน้าชื่นอกตรม ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะ
พูดเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เดี๋ยวเขาสมน้ำหน้าเอา
จะเอาไฟในออกไฟนอกเข้าก็ผิดหลักวิชชา ก็ต้อง
อดทน ทนกลุ้มกันไปอย่างนั้น

       เพราะฉะนั้น นั่นก็ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม ไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ
เพราะมันมีระเบิดเวลาอยู่ในตัว มีความโลภ ความโกรธ ความ
หลงอยู่ในตัวเขา ของมนุษย์ของสัตว์ทั้งหลาย พอถึงเวลาก็ระเบิด
ตูมขึ้นมา
       อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขบางตัว
เลี้ยงไว้อย่างดี น่ารัก ไม่ดุ อยู่ๆ ก็กัดเจ้าของ เอาอาหารอย่าง
ดีไปเลี้ยง พาไปตกแต่งร่างกาย ไปทำสปาสุนัขบ้าง แมวบ้างมัน
ยังกัดเอาอย่างนั้นนะ นั่นไม่ใช่เครื่องแก้เหงา
       แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งภายใน ดวงใสๆ ในตัวนี่แหละซึ่งเป็น
สิ่งที่เราคาดไม่ถึง นึกไม่ถึง แล้วไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า สิ่งนี้จะ
เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราได้
       จากดวงธรรมนี้จะนำให้เราเข้าไปถึงกายภายใน แล้วก็ไป
ถึงพระธรรมกาย ซึ่งเป็นพระรัตนตรัยในตัว พระรัตนตรัยใน
ตัวนี่แหละ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา พอไปถึงตรงนั้นแล้วจะมี
ความสุข สดชื่น เบิกบาน อบอุ่น มั่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล ใจ
จะสบ๊าย สบาย นั่ง นอน ยืน เดินก็เป็นสุข
       เหมือนพระมหากัปปินะ เมื่อท่านเข้าถึงแล้ว ถึงกับเปล่ง
อุทานในทุกหนทุกแห่งว่า สุขจังเลย สุขจริงหนอ ทั้งๆ ที่ท่าน
เคยเป็นพระราชามาก่อนบวช แสดงว่าราชสมบัตินั้นไม่ได้ให้
ความเต็มเปี่ยมของชีวิตเลยไม่ให้ความสมบูรณ์พร้อมของชีวิต
แม้อุดมไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ พรั่งพร้อมด้วยอำนาจวาสนา
ข้าทาสบริพาร แต่ก็ไม่ได้มีความสุข เพราะสิ่งเหล่านั้น อำนาจ
วาสนา หน้าที่การงาน ทรัพย์บริวารเขามีเอาไว้ให้ใช้แก้ปัญหา
ส่วนรวมของคนทั้งเมือง ซึ่งล้วนแต่มีปัญหาทุกคน
       การแก้ปัญหามันสร้างแรงกดดันให้กับผู้ที่แก้ปัญหา เพราะ
ฉะนั้นสมัยเป็นพระราชาท่านถึงกลุ้ม แต่ว่าเมื่อมาเป็นนักบวช
ปฏิบัติเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว จึงรำพึงออกมาในทุกสถานที่
ว่า สุขจังเลย สุขจริงหนอ นี่เป็นอย่างนี้นะลูกนะ
       วันนี้วันพระต้องละนิวรณ์ จะเป็นพระ เป็นเณร เป็นโยม
อุบาสก อุบาสิกา สาธุชน คนทั่วโลก ต้องละนิวรณ์ ละกาม
ฉันทะ ตรึกในเรื่องเพศบ้าง เรื่องสตางค์บ้าง สตรี สตางค์
บุรุษ เรื่องความขุ่นมัว ความโกรธ ความขัดเคือง ความฟุ้ง ความ
สงสัย ความง่วง
       วันนี้เลิกง่วงสักวันนะ อย่ามานั่งหลับสัปหงก ละนิวรณ์
เสีย ความท้อใจ หดหู่ใจ เศร้า ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม วันนี้
เลิกกันไปวันหนึ่ง เพราะวันนี้เป็นวันพระต้องละนิวรณ์ จำง่ายๆ
ก็คือ ทำใจให้ใสๆ ให้หยุด ให้นิ่งนะ
       เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เบิกบาน เป็นใจให้ลูกทุกคน ผู้มี
บุญทั่วโลกจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป
ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ฝึกใจให้หยุด ให้นิ่ง นุ่มๆ
ละมุนละไม อย่างสบายๆ ที่กลางกายนะ ให้ลูกทุกคนสมหวัง
ดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คน ต่างคนต่างนั่ง
กันไปเงียบๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 2 บทที่ 4 www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ศูนย์กลางกายฐานที่๗”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาทและธรรมทานทรงคุณค่าจากหลวงพ่อ#ครูไม่ใหญ่ด้วยครับ สาธุครับ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *