อานิสงส์ถวายวิหาร

อานิสงส์ถวายวิหาร (พระสุเมธาเถรี)

พระนางสุเมธากับเพื่อนหญิงอีก ๒ คน
ได้พร้อมใจกันถวายวิหารทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

      โลกในปัจจุบันนี้ไม่ได้ใหญ่เกินกว่าที่เราคิดกันแล้ว การกระทำของชนกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่กันคนละซีกโลก ก็สามารถทำให้ผู้ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งรับรู้รับทราบได้ เพราะความก้าวหน้าของการสื่อสารในยุคปัจจุบัน ดังนั้นถ้าหากเราทำความดีแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้อาจจะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ทำให้ทั่วโลกรับทราบได้ และสามารถขยายผลดีต่อไปยังโลกและจักรวาลได้ ความดีที่เกิดจากการฝึกฝนใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งเป็นประจำนี้เอง จะช่วยกลั่นบรรยากาศโลกให้เกิดกระแสแห่งความบริสุทธิ์ ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินในอากาศโลก ขันธโลก สัตวโลกให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้นการเจริญสมาธิภาวนาจึงเป็นกรณียกิจที่ทุกๆ คน ควรพร้อมใจกันลงมือปฏิบัติเพื่อตัวของเราเอง เพื่อโลก เพื่อจักรวาล และเพื่อสันติสุขของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

มีวาระพระบาลีที่กล่าวไว้ในวิหารทาน วินัยปิฎก จุลลวรรคว่า
“เลณตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ                ฌายิตุญฺจ วิปสฺสิตุํ
วิหารทานํ สงฺฆสฺส                อคฺคํ พุทฺเธหิ วณฺณิตํ
ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส         สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน
วิหาเร การเย รมฺเม                  วาสเยตฺถ พหุสฺสุเต
เตสํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ                วตฺถเสนาสนานิ จ
ทเทยฺย อุชุภูเตสุ                    วิปฺปสนฺเนน เจตสา

      การถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อปลีกวิเวก เพื่อความสุข เพื่อเพ่งฌาน และเพื่อเจริญวิปัสสนา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ เพราะเหตุนั้นแล คนผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ ให้ภิกษุสงฆ์ผู้เป็นพหูสูตอยู่ในวิหารนั้น พึงถวายข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะ แก่ท่านเหล่านั้น ด้วยใจอันผ่องใสในท่านผู้ปฏิบัติตรงเถิด”

    ผู้ให้ที่อยู่อาศัยแก่ภิกษุสงฆ์เพื่อใช้เป็นที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ได้ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือตั้งแต่ให้อายุ วรรณะ สุข พละ เรื่อยไปจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเมื่อพระสงฆ์ได้มีสถานที่ในการปฏิบัติธรรมอย่างสะดวกสบาย แล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอบรมตนเอง มีผลการปฏิบัติที่ก้าวหน้ามากเพียงใด ก็จะนำความรู้ที่เกิดจากการศึกษาธรรมะทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ จนถึงขั้นปฏิเวธไปเผยแผ่แก่ชาวโลกต่อไป สันติสุขอันไพบูลย์ก็จะแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผลแห่งการให้ของเราผู้มีส่วนสนับสนุนพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นปฏิพรย้อนกลับมาสู่ตัวของเราเอง ให้ได้รับอานิสงส์แห่งบุญเช่นนั้นด้วยทุกประการ

       เบื้องต้นคือจะได้รับความสุขใจ ซึ่งต้นทางแห่งความสุขต้องเริ่มจากการให้ แล้วให้อะไรจะประเสริฐเลิศเท่ากับให้หนทางแห่งความสุขที่แท้จริงแก่ชาวโลกนั้นเป็นไม่มี การให้อย่างนี้ถือว่าเป็นของเลิศ ให้เขาได้เข้าถึงความสุขในปัจจุบันนี้ จนกระทั่งถึงความสุขอันยิ่งใหญ่คืออายตนนิพพาน พระภิกษุทำหน้าที่ระดมธรรม พวกเราทั้งหลายทำหน้าที่ระดมทุน สองฝ่ายต่างเกื้อกูลเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน สันติสุขย่อมบังเกิดขึ้น แก่โลกได้อย่างแน่นอน ทรัพย์ของเราที่ได้เสียสละเพื่อสร้างมหาทานบารมี เป็นทรัพย์ที่มีประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างแท้จริง เหมือนแม่น้ำไม่ดื่มกินน้ำของตัวเอง แต่เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก ให้ได้อาบ ดื่ม กิน ต้นไม้ที่มีผลดก ไม่กินผลไม้ของตัวเอง แต่มีไว้เพื่อแจกจ่ายสรรพสัตว์ทั้งหลาย

     * เหมือนในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ พระนางสุเมธากับเพื่อนหญิงอีก ๒ คน ได้พร้อมใจกันถวายวิหารทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยจิตที่เลื่อมใสในวิหารทานในครั้งนั้น เมื่อละโลกไปแล้ว ทั้ง ๓ คน ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ๑๐,๐๐๐ ครั้ง เป็นเทพธิดาผู้มีฤทธานุภาพมาก จากเทวโลกก็ได้ลงมาเกิดในมนุษยโลก เธอได้เป็นนางแก้ว พระมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดินับครั้งไม่ถ้วน ด้วยบุญกุศลที่เกิดจากวิหารทานนั้นทำให้ถึงฐานะความเป็นสตรีผู้เลิศทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา

     เมื่อมาในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี มีพระธิดา ๗ พระองค์ ทรงเป็นบรมกษัตริย์ในพระนครพาราณสี และเป็นยอดพุทธอุปัฏฐาก พระนางสุเมธาซึ่งเป็นพระธิดา เมื่อมีโอกาสไปฟังธรรม จึงบังเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมาก รู้ว่าพระสงฆ์คือประมุขของผู้หวังบุญ จึงได้ถวายทานด้วยความเคารพ และประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้ที่มั่นคงในศีล หมั่นสั่งสมบุญตลอดชีวิต เพราะกรรมดีที่ทำไว้นั้น ทำให้พระนางได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติอยู่เป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งหมดอายุขัยของชาวสวรรค์ จุติจากดาวดึงส์แล้วไปสวรรค์ชั้นยามา ซึ่งเป็นชั้นสูงขึ้นไปอีก เสวยสุขอยู่ที่นั่นจนหมดอายุขัยของชาวสวรรค์ชั้นนั้น

     เมื่อจุติจากสวรรค์ชั้นยามาแล้ว ก็ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พอจุติจากดุสิต ก็เลื่อนชั้นขึ้นไปที่นิมมานรดี แล้วก็ไปชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ไม่ว่าพระนางจะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นไหน ก็จะได้เป็นมเหสีของจอมเทพในสวรรค์ชั้นนั้นๆ จึงเป็นผู้เรืองยศ เป็นที่รู้จักของเทพบุตรเทพธิดาในสวรรค์ทุกชั้นฟ้า เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้ง ก็ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ และพระเจ้าประเทศราชตามลำดับ เสวยสมบัติอันเลิศทั้งในสวรรค์และมนุษยโลก มีความสุขในทุกภพทุกชาติ ไม่เคยต้องไปตกระกำลำบากเลย นี่เป็นเพราะผลบุญที่ได้ถวายวิหารทาน ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย

     เมื่อมาถึงสมัยพุทธกาลนี้ ก็ได้มาบังเกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าโกญจะ ในกรุงมันตาวดี พระชนกชนนีได้ขนานพระนามพระนางว่าสุเมธา เป็นนารีรัตน์ผู้มีความงามเป็นเลิศ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เมื่อทรงเจริญวัยขึ้นพระชนกชนนีจึงปรึกษากันว่า จักถวายพระนางแด่พระเจ้าอนิกรัตต์ แห่งกรุงวารณวดี แต่เนื่องจากพระธิดาได้ฟังธรรมจากสำนักของภิกษุณีอยู่บ่อยๆ จึงบังเกิดความสังเวชในสังสารวัฏ อีกทั้งเนื่องจากพระนางมีบุญบารมีเต็มเปี่ยม พร้อมจะบรรลุธรรมในชาตินี้อยู่แล้ว จึงไม่คิดข้องเกี่ยวในกามคุณอีกต่อไป ทรงมีพระทัยน้อมมาทางเนกขัมมะ มีพระประสงค์จะออกผนวชเพื่อหลีกออกจากกาม

     พระนางได้ทูลบอกพระบิดาว่า “ลูกไม่ประสงค์จะครองเรือน ลูกยินดีอย่างยิ่งในพระนิพพาน ภพถึงแม้ว่าจะเป็นทิพย์ ก็ไม่ยั่งยืน จะป่วยกล่าวไปใยถึงกามทั้งหลาย ซึ่งเป็นของว่างเปล่า มีรสอร่อยน้อย มีความคับแค้นใจมาก กามทั้งหลายเผ็ดร้อน เปรียบด้วยงูพิษ ที่พวกคนเขลาพากันจมดักดาน คนเขลาเหล่านั้น แออัดกันในนรก ต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์เป็นเวลาช้านาน ลูกอยากจะออกบวช”

     แต่ถึงจะอ้อนวอนอย่างไร ก็ยังไม่สามารถจะทำพระชนกชนนีให้ทรงยินยอมได้ ทว่าพระนางก็ยังคงหาวิถีทางออกผนวชให้ได้ จึงคว้าพระขรรค์ตัดพระเกศาของตัวเอง ยึดเอาพระเกศานั้นเป็นอารมณ์ เริ่มมนสิการไว้ในใส่ใจโดยเป็นของปฏิกูล ทรงทำอสุภนิมิตให้เกิดขึ้น ใจก็หยุดนิ่งอยู่ในกลางกาย สุดท้ายก็ได้บรรลุปฐมฌานบนปราสาท เมื่อพระนางบรรลุปฐมฌานแล้ว ก็ได้ให้โอวาทแก่พระชนกชนนีและเหล่าข้าราชบริพาร จนทุกคนบังเกิดความเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา ต่างก็ไม่ขัดข้องและอนุโมทนาในการออกผนวชเป็นภิกษุณีของพระนางอีกต่อไป

     ครั้นทรงผนวชแล้ว ก็ทำภาวนาต่อจนถึงขั้นวิปัสสนา ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระสุเมธาเถรี ได้เปล่งอุทานด้วยธรรมปีติว่า

     “เราเผากิเลสได้แล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดนี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว”

     เราคงได้เห็นแล้วว่า อานิสงส์การถวายวิหารทานนั้นเป็นบุญใหญ่ ส่งผลไปตลอดทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ เหมือนอย่างที่ได้เล่ามาแล้วในข้างต้น อานุภาพแห่งวิหารทาน และการสร้างบารมีนั้น ผลที่บังเกิดขึ้น ได้ติดตามตัวเราไปตลอดเวลา และจะสั่งสมเพิ่มพูนอยู่ในใจของเรา เป็นความดีงาม ที่จะส่งผลให้เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต ดังเช่นพระสุเมธาอริยสาวิกาท่านนี้ ท่านเป็นแบบอย่างของการสร้างบารมีที่พวกเราทั้งหลายควรที่จะดูไว้เป็นเยี่ยงอย่าง และเพิ่มพูนความเชื่อมั่นในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ใจของเราจะได้มุ่งตรงสู่ความบริสุทธิ์หยุดนิ่งเช่นเดียวกับท่าน เมื่อทำได้อย่างนี้ ชีวิตของเราจะมีแต่ความสุขสมหวังอย่างแน่นอน
 
* มก. มหากปิชาดก เล่ม ๕๔ หน้า ๔๙๔

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/11403
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *