ข้อแนะนำในการครองชีพเมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ

คำถาม: ในขณะนี้ ครูบาอาจารย์กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะมีภาษีสังคมคอยเบียดเบียน รายได้อย่างอื่นไม่มี เงินเดือนน้อยไม่พอใช้ ต้องประสบปัญหาหนี้สินรุงรังกันทั้งนั้น โดยเฉพาะครูภาคอีสาน หลวงพ่อจะมีวิธีแนะนำในการครองชีพอย่างไรครับ?

คำตอบ: หลวงพ่อเองเมื่อเป็นฆราวาส ก็เจอกับปัญหานี้เหมือนกัน
ตัวเองแก้ไม่ได้ โยมแม่เลยมาแก้ให้ แล้วก็แก้สำเร็จด้วย
เมื่อก่อนจะบวชก่อนจะเข้าวัด หลวงพ่อก็มีรายได้มาก ได้เดือนละหมื่นกว่าบาท
ใช้คนเดียวด้วย แต่ว่าไม่พอใช้
วันหนึ่งโยมแม่ก็เรียกไปคุยเรื่องการใช้เงิน ท่านว่าอย่างนี้
       “ลูกเอ๊ยรายได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่”
ก็เลยเผลอเถียงไปว่า “โธ่แม่…ได้มากมันก็เหลือมาก ได้น้อยมันก็เหลือน้อย”
แม่ก็ตอบกลับ “ลูกเอ๊ยในโลกนี้ หลายๆ คน ได้มาก แต่เหลือน้อย หรือไม่เหลือ
ในขณะที่อีกหลายๆ คนเขา ได้น้อย แต่เหลือมาก”
เสร็จแล้วแม่ก็ขยายความ “ลูกเอ๊ย…ได้มากแล้วเหลือน้อยเหมือนเอาเข่งหรือเอาชะลอมตักน้ำ เมื่อตอนเข่งอยู่ในน้ำ ชะลอมอยู่ในน้ำน่ะ น้ำเต็มเข่งนะลูก แต่พอยกขึ้นมากลับเหลือแต่เข่ง น้ำไม่มี
        ส่วนที่ได้น้อยเหลือมากนั้น ก็เหมือนเอากะลาหรือขัน หรือช้อนคันเล็กๆ แต่ว่าไม่รั่วไปตักน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำน่ะน้ำก็เต็มกะลาหนึ่ง ขันหนึ่ง ช้อนหนึ่ง แต่ยกขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง

        ผู้ที่รายได้มากแต่ว่ายังกินเหล้าอยู่ นี่ก็เป็นรูรั่วอย่างหนึ่ง
เล่นไพ่ ซึ่งเป็นของไม่น่าเล่นก็เล่นกัน นี่ก็เป็นรูรั่วอีกอย่างหนึ่ง
ไปเที่ยวเตร่เฮฮา ไปเข้าบาร์เข้าคลับ ไปเที่ยวในสถานที่ที่ไม่ควรไป นี่ก็เป็นรูรั่ว อย่างหนึ่ง
ตกลงรูรั่ว ก็คืออบายมุขนั่นแหละ

        “อบายมุข” เรียนกันมามาก แต่ไม่เคยเอาไปปฏิบัติ
พอเดือดร้อนก็มาโทษภาษีสังคม อ้างอย่างนี้ไม่จบ
อาตมาโดนโยมแม่ตำหนิหนักๆ วันนั้น แล้วก็เริ่มเข้าวัด
ปรากฏว่าเมื่อเริ่มอุดรูรั่วอย่างนี้แล้ว จึงมีเงินทำบุญได้เดือนละ 5-6 พันบาท
ขณะที่ก่อนหน้านั้นไม่พอใช้
        เมื่อเข้าวัดครั้งแรกหลวงพ่อธัมมชโย เป็นผู้ชวนเข้า พอดีเป็นช่วงที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้บังคับบัญชาเหมือนกัน
เสร็จแล้ววันนั้นตอนที่จะไปวัดครั้งแรก กินเหล้าเข้าไปด้วยเมื่อตอนกลางคืน ตอนเช้าเพิ่งสร่าง ยังตึงๆ อยู่
พอไปถึงวัดก็มีรุ่นน้องเขามาชวนไปทอดผ้าป่า
“พี่ทอดผ้าป่ากันนะ บุญจะได้ช่วยให้ก้าวหน้าในการงาน”
        เนื่องจากมีเรื่องที่ขุ่นอยู่ในใจ คือขุ่นเกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาแล้วยัง ทั้งโง่ทั้งเซ่ออยู่ในใจในตัวเต็มเพียบ ประกอบกับยังไม่สร่างเมาดี ก็ตอบน้องเขาไปว่า “ฮู้ย…บุญไม่เห็นมันจะช่วยอะไรได้เลย พี่ก็ทำบุญอยู่เป็นประจำแต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชา บุญช่วยอะไรพี่ไม่ได้หรอก”
        บอกน้องออกไปอย่างนั้นเชียว
คุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงท่านได้ยิน สักครู่หนึ่งท่านก็พูดออกมาทำนองนี้ คือจะให้จำทุกคำน่ะ จำไม่ได้ มันเพิ่งสร่างเมา
ท่านพูดทำนองนี้
“คุณเป็นคนเมื่อกี้ที่บอกว่าบุญช่วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม แล้วปีหนึ่งคุณทำบุญเท่าไหร่?”
สมัยนั้นแม้จะขี้เมาแค่ไหนก็ตาม เดือนหนึ่ง 100-200 บาท ก็ทำบุญอยู่เป็นประจำ
ก็บอกท่านว่า เดือนหนึ่ง 100-200 บาท ปีหนึ่งเอา 12 คูณเข้าไปก็สัก 2,000-2,500 บาทประมาณนั้น
ท่านก็ยกมือประนม “สาธุ ดีแล้วตั้งใจทำต่อไปนะ”
ก็นึกว่าเรื่องจะจบแค่นี้มันไม่จบ
        ท่านถามว่า “คุณสูบบุหรี่หรือเปล่า” “สูบครับ” “เออ..ค่าบุหรี่ปีหนึ่งเท่าไหร่” สมัยนั้นสูบบุหรี่สายฝน ยี่ห้อเพิ่งออกใหม่ๆ ทีเดียว ถ้าไม่สูบสายฝนก็มาสูบ Salem ของโปรดอีกเหมือนกัน
บุหรี่สายฝนขณะนั้นซองละ 6 บาท หรือ 7 บาท
สูบวันหนึ่งก็ประมาณซองครึ่งถึง 2 ซอง
ตัวเองประมาณซองครึ่ง แบ่งพรรคพวกเข้ามันเลยเป็น 2 ซอง
เพราะฉะนั้นค่าบุหรี่วันหนึ่งอย่างน้อยต้อง 10 บาท สามร้อยหกสิบห้าวัน ปีหนึ่งก็ประมาณ 3,000-4,000 บาท
        คุณยายอาจารย์ถามต่อ “แล้วคุณกินเหล้าไหม”
“กินครับ”
“ค่าเหล้าปีหนึ่งเท่าไหร่”
สะดุ้งเลยที่นี้
“ก็เอา 2 เอา 3 คูณเข้าไปล่ะยาย”
เอา 3 คูณเข้าไปจากค่าบุหรี่ ปีหนึ่งมันเท่าไหร่กันล่ะในเมื่อค่าบุหรี่ตกไปประมาณ 4,000 เอา 3 คูณเข้าไป ปีหนึ่งอย่างน้อยก็ 12,000 บาท นั่นเป็นอย่างน้อย
        คุณยายอาจารย์ถามต่อ
“แล้วคุณเที่ยวบาร์เที่ยวคลับกับเขาหรือเปล่า”
“เที่ยวครับ”
“ปีหนึ่งหมดเท่าไหร่?”
“ก็เอา 2 เอา 3 คุณเข้าไปล่ะยาย”
คำนวณดูปีหนึ่งมันจะเหยียบแสนกันเข้าไปแล้วสำหรับค่าอบายมุข
คุณยายท่านเลยสรุปให้
“คุณทำบุญปีหนึ่ง 2,000-2,500 บาท แต่คุณสร้างบาปปีหนึ่งเป็นแสนแล้ว คุณยังมีหน้ามาบ่นว่าบุญไม่ช่วย ถ้าตายตอนนี้คุณไม่ตกนรกก็นับว่าดีแล้ว จะมาบ่นเอาอะไร คุณน่ะปริญญาได้ทั้งเมืองนอก เมืองไทย ของแค่นี้คุณคิดไม่ออกจริงๆ หรือนี่
        พอได้ยินคำสอนที่กระทบใจอย่างรุนแรงเข้าจังๆ เลยสร่างเมานั่งซึมทื่อ นั่งเซ่ออยู่พักหนึ่ง จุดนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้อาตมาเลิกเหล้าได้ คุณยายอาจารย์พูดไม่กี่คำ แต่คำพูดแค่นี้ของท่านทำให้เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจ้าจอกกี้เอย เจ้าจอห์นนี่ วอคเกอร์ (Johnny Walker)
ซึ่งก่อนกินมันเป็นจอห์นนี่ วอคเกอร์ แต่พอกินเสร็จแล้วมันกลายเป็นจอนนี่คลานเนอร์
คราวนี้คิดได้ไม่เอาอีกแล้ว ขว้างทิ้งเปรี้ยงลงไปเลย ตั้งแต่นั้นไม่ได้หยิบกันอีกเลย
        ความจริงก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องที่ร่ำๆ ว่าจะเลิกอยู่แล้วเหมือนกัน
คือ เมื่อวันเกิดอาจารย์ที่เคารพรักมากคนหนึ่ง ก็ไปเลี้ยงกันที่บ้านอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลี้ยงกันพักหนึ่งอาจารย์เมาขอตัวพัก
ก็เลยพาพรรคพวกไปเที่ยวต่อไปเลี้ยงกันในบาร์ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปมีเรื่องมีราวกับใคร แต่ว่าไปนั่งกินเหล้าต่อนั่นแหละ
สักสี่ทุ่มยังจำได้ ก็นั่งกินกับพรรคพวกอยู่สี่ห้าคน
พอประมาณสักห้าทุ่ม เกือบเที่ยงคืนก็มีพาร์ทเนอร์คนหนึ่ง ถูกรังแกถูกลวนลามหนีมาจากโต๊ะอื่นมาขอนั่งด้วยก็ไม่ว่าอะไร อยากนั่งก็นั่งไป อยากกินอะไรก็หยิบกินไปเถอะไม่ว่าเราก็คุยเฮๆ กันไปตามประสาขี้เมา
        พอตีหนึ่งบาร์เลิก เจ้าวงโน้นที่ลวนลามพาร์ทเนอร์เขาก็ลุกขึ้น
แต่มารู้ทีหลังนะว่าเขาเป็นคนคุมบาร์
เขาลุกขึ้นมา ก็พูดเปรยๆ “อั้วไม่รู้เป็นอย่างไร คืนไหนไม่ได้เตะคน นอนไม่ค่อยหลับ”
ชักไม่เข้าท่า เค้าไม่ดีมันมาแล้ว ก็ไม่อยากมีเรื่องมีราว
แต่ว่าเพื่อนของเราคนหนึ่งมันหน้าตึงๆ ซะแล้วมันลุกขึ้นตอบสวนพรวดไป
“แหม…เหมือนกันเลยพี่ คืนไหนไม่โดนเตะก็นอนไม่หลับ”
เท่านั้นเองก็เรียบร้อย ตีกันเละ
เรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่อง มันก็เป็นเรื่องขึ้นมาเพราะเราเข้าไปในสถานที่ๆ ไม่สมควรเข้า
คืนนั้นเกือบตาย

        มารู้ในวันหลังว่าที่นั่นเป็นบาร์มีระดับ คือเป็นบาร์ของนายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง
คนที่พูดว่า แหม..คืนไหนไม่ได้เตะคน นอนไม่หลับ นั่นร้อยตำรวจเอก
พอดีในทีมของเราที่ไปน่ะ คนหนึ่งก็เป็นครูสอนยูโด
เจ้าคนที่ไม่โดนเตะ แล้วนอนไม่หลับ นั่นก็มือรักบี้ในมหาวิทยาลัย
หลวงพ่อเองไม่ได้เก่งอะไร เป็นแค่แชมป์ดาบสองมือ
เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นมือขับรถซิ่ง ครบชุดสี่เสือ เปรี้ยงสองเปรี้ยงก็รู้เรื่อง
ร้อยตำรวจเอกคนที่ไม่ได้เตะคนนอนไม่หลับ ลงไปคลานซะแล้ว เจอมือยูโดเข้าให้
ส่วนเจ้าเพื่อนเราที่ไม่ได้โดนเตะนอนไม่หลับ โดนเตะเสียแทบหลับเลย
ตีฝ่าวงล้อมออกไปแล้วเหลียวกลับมา อ้าว…เพื่อนเราไปหลับอยู่กลางวงซะแล้วหรือนั่น
ก็เลยต้องลุยกลับไปเอาตัวมันออกมา แต่กลับมาถึงบ้านตามเสื้อเละเลย
ใส่เสื้อขาวไปประทับรอยเกือกมาเต็มเชียว ไม่ทราบเท้าใครต่อเท้าใครบ้าง

        วันนั้นพอได้ยินคุณยายพูด ที่เคยคิดร่ำๆ ว่าจะเลิก ก็เลยเลิกได้เด็ดขาด
หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่กี่วันเรื่องมันโยงกัน
ถึงคราวจะหมดเวร หลังจากมีเรื่องไม่กี่วัน
พอดีเป็นวันเด็ก เพื่อนชวนไปเลี้ยงเด็กกำพร้าที่บ้านปากเกร็ด
ไปกันหลายคนเหมือนกันกับน้องๆ นิสิตนักศึกษา
ไปเลี้ยงเด็กเสร็จ ก็ไปเจอเรื่องสลดใจ
บ้านที่ปากเกร็ด มีเด็กกำพร้าอยู่ประมาณ 300-400 คน
เด็กพวกนี้เป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น
พอไปถึงเจ้าพวกผู้ชายที่ไป เด็กเรียกพ่อหมด แล้วตะกายมาให้อุ้ม อย่างกับลูกลิง
นิสิตผู้หญิงไปกี่คนๆ มันเรียกแม่หมด นั่นแหละหน้าแดงกันเลย เพราะไม่เคยถูกเรียกแม่

        พอเห็นสภาพของเด็ก แล้วก็ไม่สบายใจอีกเหมือนกัน
แกแย่งกันให้อุ้ม
เอาเสื้อไปแจกก็อิจฉากัน
ไอ้เจ้าคนไหนเสื้อยังกลางเก่ากลางใหม่ เขาก็ไม่เปลี่ยนให้
เจ้าคนไหนเก่าแล้วก็เอาเสื้อใหม่ของเราไปเปลี่ยนให้
เด็ก 3-4 ขวบนี่ อิจฉากันไม่เบาเลย
แกแย่งเสื้อตัวใหม่กันจนฉีกขาดติดมือเลย
เห็นแล้วก็สะท้านใจ
ตุ๊กตาซื้อไปให้ เราก็ไม่รู้ว่าเด็กมากถึงขนาดไหน ซื้อมา 20-30 ตัว ไอ้คนหนึ่งคว้าคอ ไอ้คนหนึ่งคว้าแขน คนหนึ่งคว้าขา ดึงพรืดเดียวได้คนละชิ้น
เห็นแล้วก็อ่อนใจ
ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลอยู่ที่นั่น ถามว่าพ่อแม่ของเด็กพวกนี้เป็นใครพอเขาตอบมา เราสะดุ้งเลย
        เขาตอบว่า
“แม่มันหรือ ฮึ…แม่มันพวกแม่นิสิตใจง่ายยังไงล่ะ”
เอาเข้าแล้ว
“หรือไม่ก็แม่พาร์ทเนอร์ตัวดีทั้งหลายนั่นแหละ”
พ่อมันน่ะหรือ ก็ได้ขี้เมาเที่ยวบาร์เที่ยวคลับยังไงล่ะ..ไปเดินดูให้ทั่วนะ ถ้าหน้าเหมือนตัวคุณก็ช่วยเอากลับไปเลี้ยงด้วย”
ยืนเซ่ออีกเหมือนกัน นี่เป็นอย่างนี้

        ครั้นมาวัดเข้ามาเจอคุณยายสำทับเข้าไปอีก เลยคิดหนัก ถ้าทำบุญปีหนึ่งแค่ 2,000-3,000 บาท แต่ว่าทำบาปปีหนึ่งหลายหมื่นจะถึงแสน
พอโดนว่าอย่างนี้เข้า หยุดกึกเลย
กลับไปบ้าน คว้าขวดเหล้า ขว้างทิ้งเปรี้ยง
ตั้งแต่วันนั้นเลิก ไม่กินอีกเลย
ก็ทำมาอย่างนี้ แล้วก็เริ่มเข้าวัดเต็มตัว
เข้ามาได้ประมาณสัก 2 ปี
วันหนึ่งเป็นวันที่ 31 ธันวาคม ก็มานั่งนึก เรานี่ก็สูญเงินมาตั้งเยอะแล้ว น่าจะเอาเงินพวกนี้ทำบุญดีกว่า
พอวันที่ 31 ธันวาคม 2511 ก็ไปซื้อบุหรี่มาห่อหนึ่ง
ไม่ใช่ซองนะ ซื้อกันเป็นห่อ
แล้วนั่งสูบเริ่มตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็น สูบสั่งลา สูบเอาๆๆ พอเที่ยงคืนเดินขาชักจะเป๋เอา
        พอวิทยุแห่งประเทศไทยประกาศวันปีใหม่แล้ว
เสียงเพลงสวัสดีปีใหม่ดังขึ้นมา
สมเด็จพระสังฆราชสวดชยันโต สวดมนต์ให้พร
บุหรี่ในห่อเหลือเท่าไหร่ขว้างลงคูน้ำข้างบ้าน
แล้วตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ไม่เคยคิดอยากอีกเลย
ก็เลิกกันง่ายๆ อย่างนี้
และเพราะเลิกในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่นั้นมา มีเงินทำบุญเดือนหนึ่ง 5,000-6,000 บาท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยจะพอใช้

        เพราะฉะนั้นคำถามที่ถามมาเมื่อกี้นี้ว่า ภาษีสังคม หรือภาษีโง่กันแน่ ค่าเหล้าดึงไปบ้าง ค่าบุหรี่ดึงไปบ้าง เข้าบาร์บ้าง นี่ค่าโง่นะ โชคดีที่เลิกมันเสียก่อน
พอเลิกในสิ่งเหล่านี้แล้ว เพื่อนพาลๆ เพื่อนแสบๆ มันจะไม่คบเรา
ตกลงที่จะคบมีแต่เพื่อนดีๆ ภาษีสังคมไม่แพง ยิ่งดีมากๆ มันมาถือศีล 8 กับเรา มื้อเย็นยังต้องอดไปกับเราเลย ภาษีสังคมของคนวัดไม่แพงเลย
        ขอฝากไว้ให้ ลองไปพิจารณาทบทวนใหม่
ภาษีสังคมที่คุณว่า รวมทั้งสิ่งที่ได้เจอหลายๆ อย่างในวงของราชการ ในวงนักธุรกิจของบ้านเรานี่แปลกจริงๆ
บางคนเวลาควักเงินซื้อเหล้านี่ไม่เคยชะงัดเลย ควักเงินซื้อบุหรี่ไม่เคยต่อ ไม่เคยต้องคิดมาก ยิ่งเข้าบาร์เข้าคลับ ควัก เงินส่งให้พาร์ทเนอร์ค่าชั่วโมงไม่เคยต้องต่อ เพราะไม่มีสิทธิ์จะต่อ มิหนำซ้ำถูกใจทิปให้อีกด้วย
แต่ว่าแค่จะซื้อของไปฝากแม่สักหน่อยเดียว กลับคิดแล้วคิดอีก
        ถ้าใครมีอาการอย่างนี้ รีบเลิกเสีย นรกกำลังถามหาอยู่
แล้วเรื่องเหล้านี้มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆ เลย เมื่อเล็กๆ แม้ป้อนนมให้เราโตมาด้วยนมแท้ๆ แต่โตขึ้นมากลับลืมนึกถึงค่าน้ำนม อุตริมากินเหล้าแทนน้ำนมกัน
ยิ่งพอครบรอบวันเกิด แทนที่จะนึกถึงค่าน้ำนมแม่ เปล่า กลับไปนึกถึงเหล้าก่อนทุกที
อบายมุขถ้ายังไม่รีบเลิก ก็จะกลายเป็นค่านิยมทางสังคมเลวๆ ที่ทำให้เราเป็นหนี้ พอกพูนขึ้นตามลำดับ และมีเพื่อนชั่วๆ มากขึ้น
แต่ถ้าเราเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกการพนัน เลิกหวยใต้ดิน บนดิน เลิกสิ่งเหล่านี้ได้ เพื่อนชั่วจะหมดไป เมื่อเพื่อนชั่วหมดไป ภาษีสังคมก็ลด แล้วจะมีแต่เพื่อนดีๆ
หลวงพ่อว่าเงินจะเหลือด้วย
        ลองดูก็ได้ เพราะได้เจอมากับตัวเองอย่างนี้จึงอยากจะเตือนพวกเราไว้ เพื่อนในวงเหล้าในวงอบายมุขมีมาก เขาเรียกว่า “เพื่อนฝูง”
ของเป็นฝูง เขาใช้เรียกคนหรือเรียกอะไร
ถ้ายังไม่รีบออกจากอบายมุขเจ้าฝูงนั้นจะมีสมาชิกเพิ่มอีกตัวหนึ่งรู้ไหมว่าใคร? ก็เรานั่นแหละ
        ในอดีต เพราะพิจารณาอย่างนี้ หลวงพ่อจึงไม่ต้องให้ใครมาตำหนิอะไรมาก
ตัดสินใจเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ แล้วเดินหน้าเข้าวัดเลยไม่ต้องมาค่อยๆ ลดอะไรต่ออะไรให้เสียเวลา

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *